หลอกให้ปลูก! เกษตรกรร้องเรียนหลังบริษัทไม่ยอมจ่ายเงินค่ายอดมันญี่ปุ่น

หลอกให้ปลูก! เกษตรกรร้องเรียนหลังบริษัทไม่ยอมจ่ายเงินค่ายอดมันญี่ปุ่น

หลอกให้ปลูก! เกษตรกรร้องเรียนหลังบริษัทไม่ยอมจ่ายเงินค่ายอดมันญี่ปุ่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่ 3 ก.ค. 61 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมสารสิน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย

ได้นำเกษตรกรจำนวนกว่า 40 ราย ในพื้นที่ อ.พิมาย, อ.ชุมพวง, อ.ปักธงชัย, อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา และ อ.ลำทะเมนชัย จ.บุรีรัมย์ มาติดตามความคืบหน้าคดีบริษัท พีพีเท็น กรุ๊ป จำกัด อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีเกษตรกรในหลายจังหวัด ร้องเรียนว่าถูกบริษัท พีพีเท็น กรุ๊ปจำกัด เดินสายชักชวนให้ซื้อยอดมันเทศญี่ปุ่น จากบริษัทไปในราคายอดละ 10 บาท เพื่อปลูกตัดยอดจำหน่ายให้กับบริษัท ในราคายอดละ 4.50 บาท

โดยระบุว่าจะรับซื้อทุกยอด แต่ปรากฏว่าเมื่อนำมาขายให้แล้ว บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินให้กับเกษตรกร อ้างว่ายอดมันไม่ได้มาตรฐาน และเน่าเสีย

ซึ่งมีเกษตรกรที่เสียหายกว่า 500 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท ทางสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ก็ได้เดินหน้าตรวจสอบและพาเกษตรกรไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ในหลายพื้นที่

ซึ่งล่าสุดแจ้งความแล้วกว่า 200 คน แต่เพิ่งจะสอบปากคำเสร็จไปประมาณ 80 คน ดังนั้นในวันนี้ (3 ก.ค.61) จึงได้มาพบกับพนักงานสอบสวน เพื่อเร่งคัดคดี โดยให้มีการส่งสำนวนสอบปากคำของ 80 คนนี้ก่อน เพื่อให้คดีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนคนที่เหลือก็สอบปากคำไป และใครที่ยังไม่แจ้งความ ก็ไปแจ้งความในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปักธงชัย ก็ยืนยันว่าจะเร่งสรุปสำนวนคดีของทั้ง 80 คนนี้ ให้เสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เพื่อส่งให้อัยการจังหวัดนครราชสีมา ฟ้องศาลต่อไป

ทั้งนี้ล่าสุดทาง สภ.ปักธงชัย ได้แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนแล้ว ประกอบไปด้วย บริษัทพีพีเท็น กรุ๊ปจำกัด นายภาณุพงศ์ ประธานกรรมการบริษัท พีพีเท็น กรุ๊ปจำกัด, นายธนกฤต วิทยากรบริษัทฯ และน.ส.พบพร ผู้จัดการบริษัทฯ

ขณะเดียวกันวันนี้ทางเกษตรกรผู้เสียหายก็ได้รวบรวมทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้งหมด โดยมีรถยนต์เก๋ง 2 คัน รถกระบะ 2 คัน บ้านเดี่ยว 1 หลัง เพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบ และทำการอายัดทรัพย์ ก่อนที่จะส่งให้ ป.ป.ง.ตรวจยึดทรัพย์สินตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไปด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบประวัติของ น.ส.พบพร หนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ พบว่ามีประวัติถูกออกหมายจับในคดีฉ้อโกงประชาชนมาแล้วถึง 11 คดี แต่ได้เปลี่ยนชื่อ และนามสกุล เพื่อหนีคดีมาได้โดยตลอด

ซึ่งถือว่าคนนี้มีประวัติโชกโชนมาก เป็นบุคคลอันตรายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องเร่งดำเนินการจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้หนีคดี แล้วออกไปก่อคดีสร้างความเสียหายให้กับประชาชนได้อีกมากมาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook