แฉ4กลุ่มเบื้องหลังเหตุวุ่นวายทางการเมือง

แฉ4กลุ่มเบื้องหลังเหตุวุ่นวายทางการเมือง

แฉ4กลุ่มเบื้องหลังเหตุวุ่นวายทางการเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ส.ว.อภิปรายรัฐ แฉ 4 กลุ่มเบื้องหลังเหตุวุ่นวายทางการเมือง คำนูณ เสนอ มาร์ค จับมือ เนวิน ยุติความขัดแย้ง ขณะที่ รสนา ชี้ ปชช.ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

(1พ.ค.) เวลา 13.30 น.ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้ครม.แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามที่ส.ว. 51 คน เข้าชื่อเสนอตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เมื่อวันที่ 1 พ.ค.โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยนายประสพสุขแจ้งว่า มีการถ่ายทอดสดการประชุมทางวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา และสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ช่อง 11

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ผู้เสนอญัตติ อภิปรายว่า ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา สถานการณ์ทางการเมืองทำให้นายกฯล่อแหลมต่อชีวิต 2 ครั้ง รวมถึงการดำรงตำแหน่ง การยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา ทำให้ประเทศเสียหายมาก แต่อีกด้านหนึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลบริหารจัดการสถานการณ์ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วยข่าวกรองล้มเหลว เพราะมีข่าวว่า จะมีการระดมมวลชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล โดยมีการรับเงิน 2 ครั้งๆละ 100 ล้านบาทที่สำนักงานย่านรามคำแหง โดยครั้งแรกมี นาย "ก" และครั้งที่ 2 มี น.ส. "ย" เป็นผู้รับเงิน จากนั้นมีการปลุกระดมผ่านวีดีโอลิ้งค์กล่าวหาประธานองคมนตรี ประธานศาล ว่า อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร และการวางแผนลอบสังหาร แต่ไม่มีใครปกป้องผู้ใหญ่คนสำคัญในบ้านเมือง จนมีการจับกุมผู้ที่จะลอบสังหารอดีตประธานศาลฎีกาคนดังกล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 8 เม.ย.การเคลื่อนของกลุ่มเสื้อแดงมาชุมนุม แต่รัฐบาลบอกว่า ไม่เป็นไร ติดงานกาชาด และมีวันสงกรานต์ เดี๋ยวก็กลับบ้านเอง จนเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นถึงขนาดรถนายกฯติดไฟแดงและมีคนเข้ามาล้อม ต่อมาวันเริ่มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ตำรวจ ทหาร ใส่เกียร์ว่าง ไม่มีการบล็อกผู้ชุมนุม แต่กลับปล่อยให้ไปยื่นเอกสาร วันรุ่งขึ้นจึงเกิดเรื่องบุกเข้าไปในโรงแรมที่จัดประชุม นอกจากนี้ยังมีการล่อนายกรัฐมนตรีไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เสื้อแดงล้อมกรอบ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีการเผยแพร่ไปทั่วโลกถือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดของรัฐบาลคิดว่า จะควบคุมสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ ยังปล่อยให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวอ้างให้ทุกคนลุกขึ้นสู่กับอำมาตยาธิปไตย ใช้สื่อปลุกมวลชน ปลุกให้มีการแบ่งแยกทางชนชั้น ใช้สื่อต่างประเทศโจมตีประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นแผนตากสินและแผนการปลุกระดมมวลชน

นายสมชาย กล่าวว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมด พบว่า บุคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบุคคลที่เคยเป็นอดีตคอมมิวนิสต์ที่มีบทบาททางวิชาการ เช่น เอ็นจีโอ สื่อมวลชน กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม19 กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 19 กันยายน 49 และกลุ่มปัญญาชนรุ่นใหม่ ที่ใช้เว็บไซด์เป็นเครื่องมือ ทำงานสอดรับกับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีเป้าหมายโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เป็นระบบสาธารณรัฐ โดยใช้แนวทางคอมมิวนิสต์ในการทำงาน เช่น บ่มเพาะแนวคิดความแตกต่างทางชนชั้น การเก็บเกี่ยวทรัพยากร ล้มอำมาตยาธิปไตย กดดัน ปลุกระดม

นายสมชาย กล่าวว่า แนวทางแก้ไข รัฐบาลต้องชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนไทยและต่างประเทศเข้าใจมากกว่านี้ โดยเฉพาะบรรดาคดีคอรัปชั่นของพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องใช้สื่อของรัฐให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจกับประชาชน นอกจากนี้ต้องเร่งออกกฎหมายการจัดสรรคลื่นความถี่ เร่งกระบวนการยุติธรรม

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า นายกฯต้องตระหนักว่า รัฐบาลเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจไม่ใช่รัฐบาลปกติ เพราะวิกฤตปัจจุบันถือว่าร้ายแรงที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยภารกิจเร่งด่วนที่นายกฯต้องทำคือ การปกป้องสถาบันสูงสุดของประเทศ โดยบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ถือว่าเป็นสงครามที่ฝ่ายตรงข้ามพร้อมทำลายด้วยสรรพอาวุธทุกรูปแบบ และต้องยุติการเมืองที่ล้มเหลว และเพิ่มมุมมองด้านความมั่นคง ต้องใช้สื่อให้มากขึ้นโดยต้องพูดถึงสาเหตุของปรากฏการณ์ต่างๆ ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับทุกฝ่าย โดยเริ่มจากการปฏิรูปตำรวจทั้งคนและระบบ โดยต้องมีการเลือกใช้บุคลากรใหม่ทั้งหมด เร่งรัดการสร้างกลไกตามพ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร โดยเร็วที่สุด เพราะสามารถใช้โดยไม่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็นกฎหมายที่เปิดให้ภาคประชาชนเข้ามาตรวจสอบในการทำงาน เพราะต้องมีการรายงานผลการปฏิบัติต่อรัฐสภา และต้องมีแผนงานวางไว้ล่วงหน้า

นายคำนูณ กล่าวว่า นายกฯต้องจับเข่าคุยกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย อย่างตรงไปตรงมา เพื่อยุติการเมืองที่ล้มเหลว เพราะขณะนี้การเมืองไทยได้เกิดอำนาจ 3 ขา คือ 1.นายกฯสามารถได้กุมหัวใจคนในเมือง 2.นายเนวิน สามารถกุมหัวใจของคนในชนบทแทนที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยใช้นโยบายประชานิยมในชนบท 3.ทหารและพลเรือนสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ทำให้ทหารปัจจุบันไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร โดยภาพนี้เกิดมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทั้งนี้ นายกฯและนายเนวิน คงขาดกันไม่ได้ถ้าหวังที่จะอยู่รอดกันทั้งหมด การคุยกันก็เพื่อ หากรอบแห่งความพอดีในการร่วมมือกันทำงานอย่างน้อยในระยะเฉพาะหน้าอย่างน้อย 2-3 ปีถัดจากนี้ รวมถึงเพื่อยกระดับการร่วมมือกันอย่างหลวมๆ แบ่งโควตา กระทรวง และงบประมาณ เพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติที่ทั้ง 2 คน โดยยกระดับจากแนวร่วมชั่วคราวเป็นแนวร่วมถาวร ส่วนที่ไม่ต้องคุยกับทหารเพราะไม่ต้องการให้อำมาตยาธิปไตยนำ เนื่องจากจะย้อนยุคให้นายทหารนอกราชการมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความเป็นไปได้เสมอ และอาจจะมีคนคิดสูตรนี้อยู่ หากนายกฯล้มเหลว รวมทั้งผลักใสนายเนวิน ออกไป

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มาจากการที่สภาพยายามหาทางออกทางการเมืองหลังจากมีคดียุบพรรค ประชาชนตั้งความหวังกับรัฐบาลนี้มาก แต่หลังสงกรานต์ที่มีวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง คนเริ่มไม่หวัง วิกฤตขณะนี้เกิดจากความร้าวลึกทางกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมือง อุดมการณ์การเมืองและเลือกตั้งเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้ ประชาชนก็ถูกใช้ ตอนนี้จะแก้รัฐธรรมนูญ และยุบสภาหลังแก้เสร็จ สร้างความไม่เชื่อมั่น เพราะทำให้รู้สึกว่ารัฐบาลจะอายุสั้น ก็กระทบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นโยบายประชานิยมก็กลายเป็นหวังผลเลือกตั้ง ขณะที่การจัดเก็บรายได้ประมาณการว่าจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้า 1.75 แสนล้านบาท การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่รัฐบาลก็ปล่อยให้มีข้อสงสัยเรื่อง ปลากระป๋องเน่า รถเมล์ 4 พันคัน โครงการถนนไร้ฝุ่น ต้องรักษาวินัยทางการเงิน การอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น เช็คช่วยชาติ เบี้ยผู้สูงอายุ ต้องไม่ให้รั่วไหลออกนอกระบบ นอกจากนี้ มีปัญหาที่ไม่มีการแก้ไขเลยคือ ราคาพลังงาน

"รัฐบาลอย่าทำเพียงเอาเงินใส่มือชาวบ้าน แต่ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ พยายามใช้เงินอย่างประหยัด อย่ากู้จนเกินตัว การทำงานเศรษฐกิจต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมากขึ้น หากแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เสถียรภาพรัฐบาลจะดีขึ้น ต้องคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลให้อดออมและทนอด ขอให้นายกฯและรัฐบาลช่วยกันคิดและแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนเล็กคนน้อย" น.ส.รสนา กล่าว

น.ส.รสนา กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญ ต้องมีฐานมาจากการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆให้เข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของประชาชน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือให้ผู้มีอิทธิพล ต้องเปิดให้ประชาชนมีพื้นที่เล่นการเมืองเศรษฐกิจมากขึ้น เพิ่มอำนาจประชาชน ไม่ใช่ปลดล็อกนักการเมืองไม่กี่คน นอกจากนี้ สังคมเรียกร้องประชาธิปไตย เน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค แต่ลืมเรื่องภราดรภาพ ขอให้นายกฯและรัฐบาลคิดถึงการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างความเท่าเทียม มากกว่าทำเพื่อประโยชน์พวกพ้องตนเอง

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง-เสื้อแดง เป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องถึงสงกรานต์เลือด เป็นสงครามแย่งชิงมวลชนระหว่างพรรคการเมืองโดยมีประชาชนเป็นฐานสนับสนุน หากจะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็ต้องเริ่มต้นปฏิรูปนักการเมืองเพื่อให้ได้นักการเมืองที่อุดมการณ์ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะนักการเมืองไทยมี 2 ประเภท คือ นักการเมืองอาชีพ และมีอาชีพเป็นนักการเมือง ซึ่งการเมืองไทยเป็นการเลือกตั้งที่ซื้อสิทธิขายเสียง เพื่อให้ได้เป็นส.ส. แต่ถามว่า ซื้อสิทธิไปเพื่อรับใช้ประชาชนหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่เป็นการต้องการอำนาจรัฐ เกิดการคอร์รัปชั่นเพื่อให้ได้เงิน เมื่อได้เงินก็นำซื้อเสียง ซึ่งกลายเป็นวัฏจักรของการเมืองไทยมากว่า 77 ปี

นายสุรชัย กล่าวว่า ขณะนี้นักการเมืองมีการเรียกร้องให้นิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนเพื่อตนเองทั้งสิ้น จะมีนักการเมืองคนใดออกมารับประกันได้ว่า เมื่อสิ่งที่ตนเองเรียกร้องประสบผลสำเร็จ ความขัดแย้งทางการเมืองจะหมดไป แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะตั้งกรรมการสมานฉันท์ เพื่อความปรองดอง ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จที่นำสังคมไทยไปสู่ความสงบ เพราะพรรคการเมืองยังคิดที่จะช่วงชิงอำนาจเพื่อสร้างฐานให้กับตนเอง ประกอบกับหากรัฐบาลทำงาน 2 มาตรฐาน ก็อย่าหวังว่าจะแก้ไขสถานการณ์วิกฤตการเมืองไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เพื่อตอบสนองปัญหาของพรรคการเมืองและนักการเมือง มีหลายคนระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะรัฐธรรมนูญ ปี 50 แต่ขอย้ำว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้นำจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญปี 2540 มาปรับปรุงแก้ไข นอกจากนี้ยังกำหนดให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มี จึงเห็นการชุมนุมเรียกร้องสิทธิทางการเมือง มีการปิดถนน ปิดสนามบิน ยึดทำเนียบ

"ผมห่วงว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชน จะทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น ซึ่งผมขอเรียกร้องรัฐบาลทำให้เกิดนิติรัฐคือ เร่งรีบการออกกฎหมายที่ค้างคาและบังคับใช้กฎหมายเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย" นายสุรชัย กล่าว

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศในขณะนี้ถือว่าไม่ปกติ เพราะมีเจ้าของพรรคบางพรรค ไม่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศต่อไป เพราะยอมรับสภาพกับการเสียผลประโยชน์ เสียอำนาจไม่ได้ รวมถึงหวั่นเกรงว่าหากนายอภิสิทธิ์ ยังบริหารประเทศต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคดีความต่างๆ ดังนั้นจึงได้สั่งการทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการยกระดับการต่อต้าน กล่าวพาดพิง จาบจ้วง สถาบันศาล สถาบันองคมนตรี รวมทั้งก่อจลาจล โดยมีเป้าหมายเดียวคือต้องการให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา อย่างไรก็ตามเมื่อแผนการต่างๆ ไม่สำเร็จจึงทำให้ผู้นำการชุมนุม ผู้นำการก่อจลาจล วางแผนใหม่ โดยพยายามเรียกร้องให้มีคนตาย พยายามหาศพคนตาย จนสงสัยได้ว่าเสมือนมีการวางแผนและต้องการให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตจริงๆ

"อยากเตือนให้นายกฯ ตรียมการรับมือกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 6 พฤษภาคม ให้ดี เนื่องจากเชื่อว่า จะมีความพยายามในการก่อจลาจล เช่น อาจมีการยิงระเบิด M79 เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม หรือมีการปล่อยเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เม็กซิโก โดยอ้างว่ารัฐบาลเป็นผู้กระทำ เพื่อเป็นข้ออ้างให้ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาโดยมีความชอบธรรมมากขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าวและว่า เห็นด้วยหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตรา แต่การแก้ไขต้องดำเนินตามระเบียบ มีความรอบคอบ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook