สนธิ แฉทีมล่าสังหารฝีมือทหาร'จ่าสิบเอก'ร่วมในแก๊ง

สนธิ แฉทีมล่าสังหารฝีมือทหาร'จ่าสิบเอก'ร่วมในแก๊ง

สนธิ แฉทีมล่าสังหารฝีมือทหาร'จ่าสิบเอก'ร่วมในแก๊ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"สนธิ" โว ที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มอบหมายภารกิจ เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมแถลงข่าวระบุเป็นฝีมือทหารยศ“จ่าสิบเอก” อยู่ในขบวนการข่มขู่ต่อเนื่อง ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่พันธมิตรฯ ที่ทำเนียบ เสียชีวิต ไป 4 ศพ ยิงที่สนามบินดอนเมือง และศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นกลุ่มเดียวกัน

ได้ส่งข้อมูลให้ “รองฯ ธานี- ผู้การแต้ม” เรียบร้อยแล้ว เชื่อข้อมูลที่ได้เป็นความจริง ส่วน “ท่านผู้หญิงวิระยา-พล.อ. ประวิตร-พล.อ.อนุพงษ์” เชื่อว่าไม่ใช่ แต่ถ้าใช่ก็ขออโหสิกรรมให้ เผยเตรียมเดินทางไปพักฟื้นที่เมืองนอกสักระยะ ในระหว่างที่จะมีการจับกุมตัวมือปืน จะได้ดำเนินคดีกันไปอย่างอิสระ
 
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 3 พ.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวเปิดใจกรณีที่ถูกลอบยิง เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ประเด็นที่ถูกลอบสังหารแยกได้เป็น 2 มิติคือ 1. การลอบสังหารในฐานะที่เป็นสื่อ มวลชน ถือเป็นการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อน และ 2. ในฐานะแกนนำมวลชนที่ต่อสู้เรียกร้อง เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเด็นการลอบสังหารก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าใครที่มีอำนาจ มีอาวุธในมือ สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งการลอบสังหารครั้งนี้ หากสำเร็จจะสามารถล้มล้างรูปแบบที่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยจากภาคประชาชน เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว และมีนัยทางอ้อมคือ   การข่มขู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากฆ่า นายสนธิได้ก็ฆ่า นายอภิสิทธิ์ได้ การข่มขู่สื่อมวลชนให้อยู่ภายใต้อำนาจ และการข่มขู่ขบวนการภาคประชาชน หากมีการเรียกร้องมากเกินความจำเป็น ก็จะได้รับความตายไปแทน
 
“คนร้ายที่ยิง ตนยืนยันชัดด้วยสายตาว่า ถูกยิงจากที่ถูกฝึก เพราะเป็นท่านั่งประทับยิง เป็นท่าที่ฝึกทางการทหาร ใช้รถจำนวน 4 คัน มีผู้ที่กระทำการประมาณ 10-16 คน เชื่อว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจ และคนที่ลงมือรู้เส้นทางเดินรถ มีรถจอดรอเป็นจุด แต่การยิงไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นขบวนการล่าสังหาร เชื่อว่าเป็นฝีมือของทหารบางคนไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพไม่ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้”
 
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่มีคดีลอบสังหาร ทันทีที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเพียง นายกฯอภิสิทธิ์ ที่เป็นห่วงเป็นใย ส่วนคนอื่นไม่ได้แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาว และยังแสดงอาการที่เรียกว่า ปฏิเสธที่มาของอาวุธสงคราม นอกจากไม่แสดง อาการรู้ร้อนรู้หนาวแล้ว ซึ่งประเด็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงอาการของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วจะเป็นทหารหรือตำรวจน่าที่จะออกมารูปแบบของการประณามการกระทำเช่นนี้ และไม่น่าจะให้อภัย   ได้เลย เนื่องจากเกิดเหตุในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น คนที่จะออกมาทำเรื่องเช่นนี้ได้ ต้องได้รับการหลิ่วตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้ทำได้ แต่ผมยังเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นเกิดขึ้นจากทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง นอกนั้นแล้วไม่มีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นเป็นใจ
 
อีกอย่างนอกจากปฏิเสธไม่มีส่วนรับรู้ แล้ว ยังมีการเข้าสู่กระบวนการเริ่มปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธว่าอาวุธสงครามแบบนี้ใคร ๆ ก็หาซื้อได้ รวมไปถึงการปฏิเสธเรื่องปลอกกระสุนปืน มีการโยนกันไปโยนกันมา ปฏิเสธว่าไม่ใช่ กระทั่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเพิ่งออกมาพูดเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมานี้เองว่าหากมีทหารเกี่ยวข้องก็จะจัดการอย่างเด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่เรื่องเช่นนี้น่าจะมีการพูดถึงตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่พูดเลย
 
อีกประเด็นคือ ที่ว่าใครเป็นคนทำนั้น จะขอเสริมจากการสัมภาษณ์เนชั่นสุดสัปดาห์ว่า การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ขบวนการทำร้ายพันธมิตรฯ เป็นขบวนการที่จะเอาชีวิตเป็นกระบวนการข่มขู่ต่อเนื่อง การยิงเอ็ม 79 เข้าใส่จนมีพันธมิตรฯ เสียชีวิตไป 4 ศพ จนแหล่งข่าวของพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นทหารเปิดเผยว่ากลุ่มคนซึ่งยิงเอ็ม 79 เข้าใส่พันธมิตรฯ ที่ทำเนียบ รัฐบาล สนามบินดอนเมือง และศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เป็นกลุ่มคนคนเดียวกัน และเตรียมที่จะยิงเข้าใส่ต่อไปอีกและมีการส่งข้อมูลไปยัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าข้อมูลที่ได้เป็นความจริงและเตรียมดำเนินการจับกุม ซึ่งเป็นทหารยศ จ่าสิบเอก และข้อมูลนี้ถือเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับการเปิดเผย
 
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้คือ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ตนคิดว่าไม่ใช่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ และขอสมมุตินะ ว่าหากเป็นบุคคลเหล่านี้จริงก็ขออโหสิกรรมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”       
 
นายสนธิ ยังกล่าวยอมรับว่า มีแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศในเร็ววันนี้จริง แต่เพื่อไปใช้เวลาพักฟื้นร่างกาย แต่คงเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ยืนยันว่าไม่ใช่ที่ประเทศอินเดียหรือเนปาลอย่างแน่นอน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า มีการคาดหมายกันว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ อาจมีความคืบหน้าด้านคดี จึงไม่อยากอยู่เป็นตัวละครและเพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างอิสระ จึงใช้โอกาสนี้ไปพักฟื้นร่างกาย หลังจากนั้นจะกลับมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องการเมืองใหม่อย่างแน่นอน เพราะจากการรอดชีวิต อย่างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มอบหมายภารกิจเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook