"ผู้พันรัฐ" อดีตซีลชั้นครู เล่าขั้นตอนลำเลียงทีมหมูป่าออกจากถ้ำ เกือบเอาชีวิตไม่รอด
จากกรณีที่ ณัชชานันท์ พีระณรงค์ หรือ ครูนุ่น ครูสอนภาษาอังกฤษ พิธีกรและดีเจ ลูกสาวของ น.ท.ไชยนันท์ พีระณรงค์ หรือ ผู้พันรัฐ อายุ 60 ปี อดีตหน่วยซีลรุ่นที่ 11 ที่เข้าร่วมภารกิจการช่วยเหลือน้องทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง โดยได้โพสต์ข้อความว่า พ่อของเธอได้ออกจากถ้ำหลวงเป็นคนสุดท้ายหลังจบภารกิจ นอกจากนี้ยังได้มีการเล่าถึงนาทีที่เครื่องสูบน้ำภายในโถง 3 แล้วระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ล่าสุดทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ได้ไปพูดคุยกับ น.ท.ไชยนันท์ พีระณรงค์ หรือ ผู้พันรัฐ โดยได้เล่าให้เราฟังว่าได้ติดตามข่าวมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องจนกระทั่งปลายวันที่ 30 มิถุนายน น้องๆ หน่วยซีลได้ไลน์คุยกันในกลุ่มแล้วบอกกับผู้พันรัฐให้มาช่วยกันร่วมปฎิบัติการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งตนเองก็ตัดสินใจเดินทางจากบ้านที่ต่างจังหวัดเข้ากทม.เพื่อมาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเพื่อไปเชียงรายคืนนั้นทันที
>> 5 นาทีต้องรอด! อดีตซีลเผยเครื่องสูบน้ำมีปัญหาหลังช่วยหมูป่าสำเร็จ ต้องรีบวิ่งหนีน้ำ
>> เปิดใจ “อดีตซีล” พ่อพิธีกรดัง ขอลุยถ้ำหลวงในวัยเกษียณ-ช่วยชาติญาติยังไม่รู้
เมื่อไปถึงเชียงรายก็ได้เข้าที่พักที่ถ้ำหลวงกับกลุ่มเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กระทั่งเช้าวันที่ 1 ก.ค.ก็ได้เข้าไปสำรวจดูในถ้ำก็เห็นว่าภายในถ้ำก็มีน้ำท่วมอยู่เนื่องจากฝนตกตลอด และเห็นว่าในพื้นที่มันสลับซับซ้อนมาก จนกระทั่งช่วงเย็นก็เริ่มประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งคิดอยู่เสมอว่ามันใกล้ถึงเด็กๆแล้ว เพราะพื้นที่หาดพัทยาหากน้ำท่วมเลยเข้าไปข้างในประมาณ 200 ก็จะมีเนินนมสาวอีก และหลังจากเนินนมสาวไปแล้วก็จะเป็นแหล่งน้ำเพียงอย่างเดียว
รุ่งขึ้นวันที่ 2 ก.ค.ก็เลยวางแผนกันว่าจะต้องต่อไลน์เชือกเพื่อไว้ติดตั้งถังอากาศ โดยทีมของผู้พันรัฐก็ได้รับมอบมอบภารกิจนี้โดยวางกำลังกัน 2 ชุด ชุดของผู้พันรัฐมี 4 คู่ และของต่างชาติอีก 4 คู่ รวม 16 คน จนกระทั่งเวลา 20.00 น.ทีมต่างชาติได้กลับมายังโถง 3 ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่รวมกันและบอกว่าเจอเด็กแล้วพร้อมกับนำภาพวิดีโอออกมาว่า เด็กๆ อยู่ที่เนินนมสาว
ทางทีมเจ้าหน้าที่ก็ได้ส่งทีมหมอภาคย์พร้อมหน่วยซีลรวม 4 คน พร้อมอาหารและยา ซึ่งได้เตรียมไว้อยู่แล้วเข้าไปทันทีในคืนนั้นเลย หลังจากนั้นรุ่งขึ้นวันที่ 3 ก.ค. ผู้พันรัฐก็ได้ตัดสินใจเดินทางกลับทันทีเพราะถือว่าภารกิจการค้นหาเด็กๆ นั้นสำเร็จแล้ว ส่วนการกู้ภัยนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป
และหลังจากนั้นวันที่ 5 ก.ค. น้องๆ หน่วยซีลก็ส่งข้อความมาขอให้กลับไปช่วยกู้ภัยเด็กๆ อีกครั้ง ตนเองจึงตัดสินใจกลับไปที่ถ้ำหลวงอีกครั้งทันที เมื่อมาถึงก็ได้ร่วมประชุมกับทีมกู้ภัยต่างชาติ ซึ่งผู้พันรัฐก็ได้เสนอแนวทางการจะนำเด็กออกมาคือการห่อเด็กด้วยพลาสติกสนาม ลักษณะคล้ายๆ เสื่อแต่มันจะม้วนล็อกได้แน่น ให้ลอยกับน้ำออกมาโดยให้ใส่หน้ากากออกซิเจนตลอด ซึ่งจะมีซีล 1 คนอยู่ข้างหน้าและอีก 1 คนอยู่ข้างหลัง ส่วนถังอากาศก็จะอยู่ด้านในพลาสติกที่ห่อน้องด้วย
ทั้งนี้ก็ได้มีการทดลองกับเจ้าหน้าที่ก่อนด้วย และมีการวางแผนไว้ว่าตลอดเส้นทางที่มีการนำเด็กออกมานั้นจะมีถังอากาศวางอยู่ หากดำน้ำออกมาแล้วถังออกซิเจนอากาศหมดก็จะสามารถเปลี่ยนได้ทันที และเมื่อมาถึงโถง 3 ซึ่งจุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยอยู่เกือบ 40 คน แบ่งเป็น ออสเตรเลีย 5 จีน 6 ออสเตรีย 1 สเปน 1 อังกฤษ 1 อาร์เจนตินา 1 สิงคโปร์ 1 ซีลไทยจำนวนหนึ่ง ก็จะมีเจ้าหน้าที่แพทย์คอยดูแลอาการของน้องๆ หากสัญญาณชีพปกติก็จะลำเลียงออกไปยังโถง 2 ซึ่งจากโถง 3 ออกไปยังโถง 2 นี่ลักษณะพื้นที่จะเป็นรูปตัว U
โดยจะต้องค่อยๆ หย่อนน้องลงและเมื่อถึงใต้ท้องตัว U ก็จะต้องดำน้ำ และใช้รอกดึงน้องขึ้นไปยังโถง 2 และจากโถง 2 ไปยังปากถ้ำก็จะต้องให้น้องขึ้นรอกแล้วลากดึงข้ามไป เพราะจุดดังกล่าวจะเป็นลักษณะคล้ายๆ เหว หากจะเดินลงเพื่อข้ามไปก็ได้ แต่จะลำบาก เจ้าหน้าที่จึงเลือกใช้วิธีการแขวนน้องข้ามไปดีกว่า
นอกจากนี้ผู้พันรัฐยังได้เล่าวินาทีชีวิต หลังจากที่เจ้าหน้าที่ลำเลียงน้องๆ ออกจากถ้ำหลวงทั้งหมดครบ 13 ชีวิตแล้วขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บของออกจากถ้ำนั้น และรอหน่วยซีลชุดของหมอภาคย์กำลังออกมานั้น ทีมกู้ภัยจากออสเตรเลียที่ทำการสำรวจระดับน้ำจากโถง 3 ก็พบว่าปั๊มน้ำไม่ทำงานและระดับน้ำมันขึ้นเร็วมาก
ตนเองในฐานะที่เป็นหัวหน้าชุดตรงจุดดังกล่าวก็ได้สั่งให้ทั้งหมดรีบถอนกำลังออกจากโถง 3 ประกอบกับชุดของหมอภาคย์เดินทางมาถึงพอดีทุกคนก็ได้รีบออก โดยผู้พันรัฐเป็นคนสุดท้ายที่เดินตามออกมา ในเวลา 22.00 น.เพราะต้องตรวจเช็คคนให้ครบก่อน พอหลังจากที่ตนเองออกมาแล้วก็ฉายไฟไปดูในช่องระหว่างโถง 2 และ 3 ก็พบว่าน้ำได้ท่วมเต็มเพดานแล้ว
จากนั้นผู้พันรัฐก็ได้เล่าวินาทีที่ต้องสูญเสียจ่าแซมนั้น ในขณะที่ทีมของผู้พันรัฐกำลังวางไลน์เชือกและทีมของจ่าแซมจะเป็นคนวางถังอากาศโดยจะทำงานสลับกัน ขณะที่ทุกคนกำลังเร่งปฏิบัติภารกิจกันอยู่ ตนเองก็ได้ยินเสียงคนปฐมพยาบาล และเสียงนั้นก็เงียบไปซึ่งก็คิดว่าน่าจะเกิดเหตุอะไรแต่คงไม่ร้ายแรงมากและไม่คิดว่าจะเป็นจ่าแซม
โดยก็เร่งทำงานกันตามปกติจนเสร็จ จนกระทั่งตนเองออกมาจากปากถ้ำตอนเช้าก็ทราบว่าเป็นจ่าแซมที่เสียชีวิต ตนเองก็ได้บอกน้องๆ ซีลคนอื่นๆ ว่าให้มุ่งมั่นและทำงานต่อไป และก็ได้ตั้งจิตบอกจ่าแซมตั้งแต่ในถ้ำหลังจากที่ช่วยทั้ง 13 ชีวิตออกมาได้ว่า “แซม...ครูและพวกเราก็ทำหน้าที่ได้เสร็จแล้ว ขอให้ภูมิใจได้ พักผ่อนให้สบาย”
>> เปิดคลิปภาพ "หน่วยซีล" ปฏิบัติการลำเลียงทีมหมูป่า 13 ชีวิต ออกจากถ้ำหลวง