กกต.อุ้ม บุญจง คดีแจกเบี้ยยังชีพแนบนามบัตร
กกต. อุ้ม บุญจง คดีแจกเบี้ยยังชีพ ผ้าห่ม แนบนามบัตร ช่วยแก้ทุกข้อกล่าวหา อ้างเป็นสิทธิไม่ขัดกฎหมาย ยังอุ้ม 22สว.อ้างไม่ได้ก้าวก่ายหน้าที่ เอ็นบีที ครม.ไฟเขียวให้ลดเงินสมทบส่งเงินประกันสังคมแล้ว
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมได้พิจารณากรณีนายเรืองไกร กิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. ร้องเรียนนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยและรมช.มหาดไทย กรณีที่มอบเงินงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แจกผ้าห่มให้ผู้ยากไร้ ที่บ้านพัก ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา โดยอาจจะเป็นการก้าวก่าย แทรกแซงการทำงานของข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ ซึ่งขัดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 (1) 268 และอาจจะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีตามมาตรา 106 (6) และ 182 (7) นอกจากนี้ยังเป็นการหาสมาชิกพรรคโดยมิชอบ ที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 22
นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ ตามที่คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน เสนอมา โดยเห็นว่า นายบุญจงไม่มีความผิด โดยเรื่องการใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรีก้าวก่ายการทำงานนั้น กกต.เห็นว่า การจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าว เป็นเงินที่ส่วนราชการปฏิบัติตามระเบียบ และเป็นไปตามปกติไม่มีหลักฐานว่า นายบุญจงใช้สถานะของตัวเองเข้าไปแทรกแซง เพราะในวันที่ 24 ม.ค. 2552 ซึ่งเป็นวันที่แจกนั้นนายบุญจงก็เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน และงบประมาณดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดที่อนุมัติในวันที่ 1 ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่นายบุญจงจะมารับตำแหน่ง
นายสุทธิพล กล่าวว่า ส่วนที่นายบุญจงใช้บ้านพักของตนเองเป็นสถานที่แจกเงินและผ้าห่มนั้น จากการสอบสวนทราบว่าแต่เดิมมีการวางแผนว่าจะใช้หอประชุมของที่ว่าการอำเภอโชคชัยเป็นสถานที่แจก แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มแม่บ้านได้จองขอใช้หอประชุมในการซ้อมรำบวงสรวงท้าวสุรนารีไว้ก่อนเป็นเวลากว่าเดือนแล้ว อีกทั้งกลุ่มแม่บ้านที่จะรำถวายนั้นมีเป็นจำนวนมากถึง 400 คน และในวันดังกล่าวคาดว่าจะมีคนมาแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งเป็นจำนวนมาก นายอำเภอโชคชัย จึงขอให้ใช้บ้านพักของนายบุญจงแทน ซึ่งเรื่องนี้เป็นการดำเนินงานของส่วนราชการเองโดยนายบุญจงไม่ได้มีส่วนเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงแต่อย่างใด อีกทั้ง ตามระเบียบของกรมประชาสงเคราะห์ ไม่ได้กำหนดหรือมีข้อปฏิบัติว่าจะต้องไปแจกที่ใด หน่วยงานที่ของบประมานจะเอาของไปแจกตามที่มอบหมายที่ใดก็ได้ นอกจากนี้เมื่อดูแผนที่แล้วพบว่าประชาชนที่มารับแจกของนั้น อยู่ใกล้บ้านของนายบุญจงมากกว่าที่ว่าการอำเภอโชคชัย นอกจากนี้การย้ายที่ก็เป็นการดูเรื่องความสะดวกไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่านายบุญจงใช้อำนาจหน้าที่ในการแทรกแซงการทำงานของราชการ
เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า สำหรับกรณีการแนบนามบัตรนั้น เมื่อพิจารณาแล้วฟังไม่ได้ว่านามบัตรของนายบุญจง และภรรยาที่แนบไปนั้น ไม่ทำให้เข้าใจผิดว่าเงินที่แจกเป็นเงินส่วนตัวของนายบุญจงและภรรยา อีกทั้งนามบัตรดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุว่าเป็น รมช.มหาดไทย หรือเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแต่อย่างใด
นายสุทธิพล กล่าวต่อว่า ส่วนที่ร้องเรื่องการแจกผ้าห่มนั้น จากการสืบสวนทราบว่า เงินที่นำมาซื้อผ้าห่มเป็นเงินส่วนตัวของนายบุญจงเองไม่ใช่เงินของราชการ โดยในชั้นสืบสวนมีการแสดงใบเสร็จการจัดซื้อผ้าห่ม อย่างไรก็ตามไม่สามารถมองได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันสามารถคำนวนเป็นเงินเพื่อจูงใจ ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งให้ ที่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 เพราะในขณะนั้นยังไม่มีประกาศของ กกต.ให้มีการเลือกตั้ง นายบุญจงจึงเป็นสิทธิสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องใช้สถานะ ส.ส. หรือรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า นายบุญจงพูดหรือจูงใจคนมารับเงินให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้ และไม่มีหลักฐานว่ายบุญจงใช้ตำแหน่งไปกระทำการใดโดยมิชอบ
นายสุทธิพล กล่าวอีกว่า ประเด็นเรื่องที่ถูกร้องว่าให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ เพื่อจูงใจให้ได้รับแจกสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยนั้น จากการสอบสวนทราบว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ามีการพูดหรือจูงใจให้ผู้ได้รับแจกในวันนั้นมาสมัครเป็นสมาชิพรรคภูมิใจไทย รวมถึงไม่มีป้ายชื่อ สัญลักษณ์ ของพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้นามบัตรที่แจกก็ยังไม่มีชื่อพรรค อีกทั้งเมื่อนำฐานข้อมูลสมาชิพรรคมาตรวจสอบก็ไม่พบชื่อบุคคลที่มารับเงินสงเคราะห์สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินครั้งนี้เป็นบรรทัดฐานได้ใช่หรือไม่ว่า ต่อไปรัฐมนตรีสามารถแจกของ ของราชการที่บ้านตัวเองได้ นายสุทธิพล กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆไป ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกันได้ และต้องดูเจตนาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาครั้งนี้ กกต.ดูเพียงแค่ข้อเท็จจริงตามกฎหมายไม่ได้ดูเรื่องความเหมาะสมใช่หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต. ดูทั้งสองเรื่อง แต่ที่ร้องมาเป็นเรื่องการใช้ตำแหน่งก้าวก่าย เราต้องเอากฎหมายประกอบข้อเท็จจริง และที่ตนแถลงในวันนี้ก็เป็นไปตามมติ กกต.เท่านั้น
ยังอุ้ม 22สว.อ้างไม่ได้ก้าวก่ายหน้าที่ "เอ็นบีที"
นายสุทธิพล แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก เห็นตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี ที่นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคพลังประชาชน ยื่นคำร้องให้กกต.ตรวจสอบสมาชิกภาพของ ส.ว.จำนวน 22 คน สิ้นสุดลงหลังได้กระทำการอันต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 ที่ระบุว่า ห้าม ส.ส.และ ส.ว.ใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เนื่องจากกลุ่ม ส.ว.ดังกล่าวได้ส่งหนังสือไปถึง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เพื่อให้พิจารณาการถ่ายทอดรายการ "ความจริงวันนี้" ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดย กกต. เห็นว่าหนังสือดังกล่าวก็เป็นเพียงการแสดงความวิตกกังวลบนการตั้งสมมุติฐาน จึงไม่ได้เป็นการกระทำที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบติหน้าที่ของหน่วยงานราชการแต่อย่างใด ส่วนที่ไม่ได้ถ่ายทอดรายการความจริงวันนี้ จากสนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน นั้น เป็นการใช้ดุลยพินิจของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง
สำหรับรายชื่อ 22 ส.ว.ที่นายสงวน กล่าวอ้างมาประกอบด้วย นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา นายประสาน มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา นางพรพันธุ์ บุณยะรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล ส.ว.สรรหา นายอิทธิพล เรืองวรบูรณ์ ส.ว.สรรหา น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา นายวิรัติ พาณิชย์พงษ์ ส.ว.สรรหา นายชลิต แก้วจินดา ส.ว.สรรหา ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ส.ว.สรรหา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา นางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา นายวิทวัส บุญญสถิตย์ ส.ว.สรรหา นายสุรจิต ชิรเวทย์ ส.ว.สรรหา และนายอนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา
รัฐบาลพร้อมหนุนโครงการหยุดทำร้ายประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการแถลงผลการประชุมครม.ของนายศุภชัย ใจสมุทร นายศุกลักษณ์ ควรหา และนายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้พากันสวมเสื้อโปโลสีขาวที่สกรีนข้อความ "หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง" เพื่อร่วมรณรงค์โครงการ โดยนายศุภชัย กล่าวว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการนี้ ส่วนนายวัชระ กล่าวเสริมว่า วันนี้เรามีความสุขที่ได้ใส่เสื้อขาว ตนดูจากข่าวหลายวันก็เป็นความฝันของตนที่อยากจะใส่ ซึ่งตนขอขอบคุณสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันพระปกเกล้า และเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทยทั้งหมด 21 องค์กร "ใน ฐานะตัวแทนรัฐบาลอยากจะบอกประชาชนว่าไม่ว่าท่านจะใส่เสื้อสีอะไรก็แล้วแต่ เก่าหรือไม่ก็ตาม อาจจะไม่ใส่สีขาว ก็สามารถหยุดทำร้ายประเทศไทยและหยุดทำความรุนแรงกับประเทศไทยได้"นายวัชระ กล่าว
ครม.ไฟเขียวให้ลดเงินสมทบส่งเงินประกันสังคมแล้ว
นายศุภรักษ์ ควรหา โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.ได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงานเสนอลดอัตราเงินสมทบ กองทุนประกันสังคม โดยให้นายจ้างและลูกจ้าง ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบลดลงจากอัตราปัจจุบัน ซึ่งเงินสมทบฝ่ายละ 5 % ของค่าจ้างเป็นอัตราฝ่ายละ 3 % ของค่าจ้าง โดยแยกเป็นการลดอัตราเงินสมทบประโยชน์ทดแทน 4 กรณี ประกอบด้วย กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตายและคลอดบุตร จากฝ่ายละ 1.5 % ของค่าจ้าง เป็นฝ่ายละ 0.5 % ของค่าจ้าง และลดอัตราเงินสมทบประโยชน์ทดแทน 2 กรณี ได้แก่ กรณีสงเคราะห์บุตร และชราภาพ จากฝ่ายละ 3 % ของค่าจ้าง เป็นฝ่ายละ 2 % ของค่าจ้าง เท่านั้น จะไม่มีการลดอัตราเงินสมทบประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
รอง โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ให้ลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเฉพาะในส่วนของนายจ้างและลูกจ้างผู้ ประกันตนเท่านั้น โดยรัฐบาลยังคงจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมในอัตราเดิม คือ จ่ายเงินสมทบในอัตราร้อยละ 2.75 ของค่าจ้าง" และต้องไม่กระทบสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนในทุกๆกรณี โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่มีอายุ ซึ่งจะมีสิทธิได้รับเฉพาะบำเหน็จชราภาพ (ไม่มีสิทธิได้รับ "บำนาญ") ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เต็มสิทธิเสมือนกับไม่ได้ลดอัตราเงินสมทบของนายจ้าง