"แพท ณปภา" ชีวิตที่ไม่เคยเจอแม่ที่แท้จริง แม้รูปสักใบก็ไม่มี พ่อบอกแค่ท่านอยู่ไม่ไกล

ทำเอาแฟนคลับแอบช็อกกันเลยทีเดียว หลังจากที่นางเอกสาวสายแกร่ง แพท-ณปภา ตันตระกูล ได้ออกมาเปิดใจแบบหมดเปลือกถึงเรื่องราวที่เป็นดั่งนิยาย และถูกปิดบังมาตลอดในระยะ 30 กว่าปี ว่าแท้จริงแล้วคนที่เธอดูแลอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ พ่อ-แม่ แท้ๆ ที่ให้กำเนิดเธอ ทั้งยังเปิดตัวพ่อแท้ๆ ให้ประชาชนได้รู้อีกด้วยว่า เขาคนนั้นคือคนที่เธอเรียกว่า พี่ มาตลอดเวลา

>>"แพท ณปภา" ร่ำไห้เผย 30 ปี ไม่เคยเจอแม่ที่แท้จริง เพิ่งรู้ "พ่อ" คือคนที่เรียกว่า "พี่" มาตลอด

ล่าสุดวันนี้ (18 ก.ค.) แพท ณปภา ก็ได้ออกมาเผยกับสื่อมวลชนให้ฟังอีกครั้งถึงเรื่องราวดังกล่าว ว่าสาเหตุที่ออกมาเปิดเผยความจริงในวันนี้นั้นเพราะไม่ต้องการให้ลูกชาย น้องเรซซิ่ง สับสนในสถานความสัมพันธ์ของครอบครัว อีกทั้งอยากจะทำอะไรให้พ่อแท้ๆ เป็นการตอบแทนสักครั้งหนึ่งด้วย

ส่วนด้านแม่ที่แท้จริงนั้น แพทยังไม่มีโอกาสได้เจอ เนื่องจากเวลาที่แม่มาหา 2-3 ครั้ง เธอไม่ได้อยู่บ้านเลย ไม่เคยมีรูปสักใบ รู้จักเพียงแค่ชื่อเล่นเท่านั้น ซึ่งทางคุณพ่อได้บอกไว้ว่าผิวพรรณและปากเธอเหมือนแม่มาก และอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลถ้าอยากเจอขอแค่บอก

"แพทไม่ได้คาดหวังฟีดแบคจากคนภายนอกว่า เขาจะต้องมาสงสารหรือมาอวยพรอะไรนะคะ แต่ทั้งหมดที่แพททำ แพททำเพื่อลูก และก็คุณพ่อแท้ๆ เพราะแพทคิดมาตลอดตั้งแต่ตอนที่คุณแม่เริ่มป่วยแล้วว่าแพทจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี จนกระทั่งแพทมีลูก แพทเลยรู้สึกว่าแพทอยากที่จะสอนเรื่องจริงกับเขา สอนให้เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร ผู้หญิงที่นอนอยู่คือใคร และแม่ถูกเลี้ยงดูมายังไง ดังนั้นแพทก็เลยตัดสินใจว่าเปิดเผยเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า รวมถึงตัวคุณพ่อเองท่านก็มาอยู่กับแพทได้ประมาณ 7-8 เดือนแล้วด้วย"

"ซึ่งถ้าถามความรู้สึกของแพทนะ แพทก็อยากจะทำอะไรให้กับเขาสักอย่าง ถึงแม้ที่ผ่านมาเขาจะโอเคกับการที่แพทเรียกพี่ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็คงอยากจะได้สถานะของเขากลับ นั่นก็คือคำว่า "พ่อ" มันก็เลยเหมือนกับเป็นสองเด้ง เพราะได้ทำให้ลูกด้วย และก็ทำให้พ่อด้วยเหมือนกัน"

 แพท ณปภา เปิดตัวพ่อที่แท้จริงกำลังอุ้มน้องเรซซิ่ง

ณ ตอนนี้เราเริ่มเรียกเขาว่าพ่อแล้วหรือยัง ?
"ยังค่ะ เราคุยกันแล้ว คือไม่ได้จริงๆ (หัวเราะ) มันเป็นเวลา 32 ปีเลยนะ เพราะก่อนหน้านี้ที่แพทเข้าใจประมาณ 20 ปี และแพทก็เรียกเขาว่า "พี่" มาตลอด บวกกับช่วงที่แพทรู้ความจริงเราไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกมันก็เลยยากแล้วอ่ะที่จะเปลี่ยน ดังนั้นเราก็เลยคุยกันและบอกกันว่า ในความรู้สึกของแพท พ่อคือพ่อนะ แต่แพทต้องขออนุญาตเรียกพี่ ซึ่งเขาก็โอเคเพราะจะได้ดูเด็กด้วยเหมือนกัน (ยิ้ม)"

"พอได้เปิดตัวแบบนี้แล้วรู้สึกสบายใจไหม แน่นอนค่ะสบายใจมาก อย่างแรกเลยก็คือจะได้แนะนำตัวเขาอย่างถูกต้องสักทีว่าเขาคือพ่อ รวมถึงเรซซิ่งเมื่อโตขึ้นเขาก็จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องสถานะด้วยว่าใครเป็นใคร มีความสำคัญยังไงกับเขา"

"ตอนที่ตัดสินใจจะออกมาบอกเรื่องนี้กับสังคม เอ่อ...เราก็คุยกันก่อนค่ะ เราคุยกันว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะเปิด แต่ถามว่าแพทรู้เรื่องนี้ตอนไหน แพทรู้ตอนประมาณ อายุ 20 ซึ่งตอนนั้นคุณแม่แพทท่านค่อนข้างกลัว กลัวถ้ามีคนรับรู้และพูดถึงเรื่องนี้เยอะๆ จะทำให้แพทไม่รักเขา เขากลัวความรักที่ทุ่มเทมาให้แพทตลอด 20 ปี จะสูญหายไป เนื่องจากเขาไม่ใช่แม่ ท่านก็เลยขอว่าเรารู้กันแค่นี้ได้ไหม ไม่บอกใครได้ไหม ซึ่งแพทก็โอเคทุกอย่างไม่มีปัญหา แพทเข้าใจแม่ แม่ไม่ต้องกลัว เพราะแม่เลี้ยงดูแพทขนาดนี้ มันไม่มีทางเลยจริงๆ ที่แพทจะหมดรักแม่ได้"

พอมีคุณพ่อมาอยู่ด้วย ตอนนี้ชีวิตครอบครัวเป็นยังไงบ้าง ?
"กำลังปรับตัวค่ะ เพราะที่ผ่านมาแพทดูแลตัวเองคนเดียวมาตลอดตั้งที่ช่วงที่คุณแม่เริ่มป่วย มันไม่ง่ายเลยค่ะที่เราจะปรับแบบทีเดียว มันเป็นช่วงการปรับตัวของแพทค่ะ ก็คงต้องให้เวลาตัวเราในการที่จะมีอีกหนึ่งคนเพิ่มเข้ามานอกจากแม่"

แสดงว่าจากข่าวในอดีตคนที่เคยฟ้องร้องเรา ไม่ใช่พ่อคนนี้ แต่ว่าเป็นคุณปู่ ?
"ใช่ค่ะ คุณปู่เป็นคนฟ้อง ซึ่งเรื่องการฟ้องร้องตอนนั้นท่านก็คือพ่อ เพราะในใบเกิดของแพท คุณปู่กับคุณย่าท่านคือคนเซ็นรับรองตั้งแต่แรก เป็นการยกให้ตั้งแต่วันคลอดเลย (ยิ้ม) ซึ่งตอนที่แพทรู้ความจริงครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้แพทก็ไม่ได้น้อยใจนะ ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องน้อยใจใครเลย เพราะแพทรู้สึกขอบคุณมากกว่าด้วยซ้ำ ที่เลือกให้มันเป็นแบบนี้"

 IG: pat_napapaแพท ณปภา กับคุณย่า ที่เรียกว่าแม่มาตลอด

เคยคิดถึงเรื่องที่จะตามหาแม่ตัวจริงไหม ?
"ถามพ่อแล้วค่ะ พ่อบอกว่าไม่ต้องตาม เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล และถ้าอยากเจอเมื่อไหร่ให้บอกเขา (ยิ้ม) ถามว่าแพทอยากเจอไหม เอ่อ...อันนี้เป็นคำถามที่แพทเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะทุกวันนี้แพทก็ยังคิดว่าคุณย่าคือคุณแม่มาตลอด ดังนั้นถ้าเราได้เจอกัน แพทจะพูดกับเขาคำแรกว่าอะไรดี เพราะหน้าก็ไม่เคยเห็น รูปสักใบก็ไม่มี รู้แค่ชื่อเล่นว่าชื่อ แม่แอ๋ว แต่แพทก็ถามพ่อนะว่า หน้าแพทเหมือนแม่ตรงไหนบ้าง พ่อก็บอกว่าเหมือนปาก ปากห้อยเหมือนกัน และสีผิวก็คล้ายๆ กันด้วย"

หลังจากที่มีข่าวออกไปแล้ว ถ้าเขาอยากมาแสดงตัวกับเรา เราจะโอเคไหม ?
"ได้เลยค่ะ จริงๆ ที่ผ่านมาเขาก็เคยมาแล้วนะคะ เพราะที่บ้านบอกอยู่เหมือนกันว่ามาประมาณ 2-3 ครั้ง เพียงแต่ว่ามาตอนที่แพทไม่อยู่ ซึ่งพอแพทไม่อยู่ปุ๊บเขาก็เลยกลับ และก็ไม่ได้ทิ้งเบอร์ไว้ด้วย เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้าแม่จะมาอีกแม่ก็มาได้เลย เพราะแพทไม่เคยย้ายไปไหนอยู่แล้ว"

ชีวิตของเราหลังจากนี้จะมีเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า ?
"คงเป็นเรื่องเดียวเนอะ คือเรื่องที่เราจะได้กลับมาอยู่เป็นครอบครัวอีกหรือเปล่า หรือว่าแพทจะเป็นซิงเกิ้ลมัมตลอดไป เราคงต้องดูกันยาวๆ ค่ะ แต่ก็คุยกับพี่เบนซ์ไว้คร่าวๆ แล้วค่ะ เพียงแค่มันยังสรุปไม่ได้ เพราะเรื่องมันยังไม่สิ้นสุด และถึงแม้วันหนึ่งทุกอย่างมันจบเขาได้ออกมา เราก็คงต้องมาปรับจูนกันใหม่อีกเพราะเรื่องราวระหว่างเราสองมันหนักมากจริงๆ ดังนั้นมันต้องมีการคุยค่ะว่าเราจะไปกันแบบ 3 คน หรือแค่ 1 กับ 2"

"สาเหตุที่แพทต้องบอกแบบนี้ก็เพราะที่ผ่านมา แพทเลี้ยงลูกคนเดียวจริงๆ เลี้ยงมา 1 ปีเต็มๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆ แพทดูแลหมด ค่าพี่เลี้ยง ค่าเรียนเสริม หรืออื่นๆ ดังนั้นถ้าหากวันหนึ่งคุณอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม คุณก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งทางคุณย่าของเรซซิ่งท่านก็ยังไม่ได้ซัพพอร์ตอะไร เพราะตัวแพทเองก็ไม่ได้เคยขอความช่วยเหลือจากท่าน เนื่องจากแพทยังรู้สึกว่าแพทยังไหว แต่ถามว่าที่ผ่านมาแพทเคยพาลูกไปเจอคุณย่าไหม เอ่อ...แพทก็พาไปได้แค่ตอนขึ้นศาลจริงๆ เพราะอย่างที่ทราบเนอะว่างานของแพทไม่เป็นเวลาจริงๆ และบวกกับแพทติดลูกมากด้วย ดังนั้นเอาเขาไว้อยู่ใกล้ๆ เราดีกว่า (ยิ้ม)"

กลัวไหมหากคุยกันแล้วอาจจะมีดราม่าจากสังคมตามมา เช่นหลายคนอาจจะมองว่าเรทาทิ้งเขา ?
"อย่าใช้คำว่าทิ้งเลยค่ะ ซึ่งแพทเข้าใจนะว่าเรื่องแบบนี้คนข้างนอกอาจจะโดนหนักกว่าคนข้างใน เพราะถ้าหากวันนี้เราเดินออกมาทุกคนก็อาจจะบอกว่า รอไม่ได้ ทิ้ง สงสารเบนซ์ แต่ว่าก่อนที่จะคิดถึงตรงนั้น คุณก็น่าจะต้องคิดถึงคนข้างนอกก่อนด้วยว่าเขารับภาระอะไรอยู่ และเขาจะใช้ชีวิตต่อยังไงกับสิ่งที่เขาแบบรับไว้ เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่การตัดสินใจของคนคนเดียวแน่นอน เพราะเราต้องคุยกันทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้เขาอาจจะแค่รับรู้ว่าเราสบาย เราไม่เหนื่อย เขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ตอนนี้แพทกำลังจะบอกเขาว่า มันไม่ใช่ ถึงแม้เขาจะอยู่ข้างในเขาก็ยังดูแลเราสองคนได้นะ เพราะเราไม่ได้จะสามารถแข็งแรงแบบนี้ได้ตลอดไป"