เหมือนมีอะไรบังตา! เปิดใจ "ลุงก้อย" หลงป่า 6 วัน ได้ดวงไฟสีเขียวประหลาดนำทาง

เหมือนมีอะไรบังตา! เปิดใจ "ลุงก้อย" หลงป่า 6 วัน ได้ดวงไฟสีเขียวประหลาดนำทาง

เหมือนมีอะไรบังตา! เปิดใจ "ลุงก้อย" หลงป่า 6 วัน ได้ดวงไฟสีเขียวประหลาดนำทาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณี นายสมพูล ภูมองชัย ชาวบ้านไชยวาร อายุ 59 ปี อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งพลัดหลงกับเพื่อนบ้านขณะเข้าป่าภูพานเพื่อไปเก็บเห็ด ในเขตตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2561 ทางจังหวัดสกลนครและจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ร่วมกันค้นหาตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (17 ส.ค.) นายสมพูล ภูมองชัย หรือ ลุงก้อย เปิดใจว่า ตนไม่เคยเข้าไปหาป่าในเขตเทือกเขาภูพาน แต่ด้วยฐานะยากจนและเห็นเพื่อบ้านที่ไปหาเห็ดในป่าภูพาน ได้กลับมาจำนวนมาก จึงได้ขอไปด้วย เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา และไปด้วยกัน 12 คน แต่ในระหว่างที่จะเดินทางกลับ ไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ก็ไม่ให้มีใครอยู่ในป่า และไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงตัดสินใจเดินหาทางออก แต่ก็หาไม่พบ จึงตัดสินใจเดินเท้าลัดเลาะลงเข้าไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปหลายวัน ก็อาศัยกินหยวกกล้วยและน้ำในลำธารประทังชีวิต ในใจคิดว่าคงจะต้องตายแน่ๆ แต่สิ่งที่คิดขึ้นได้ก็เชื่อในความดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตนได้มีโอกาสไปเป็นจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจของ ในหลวง ร.10 จึงยกมือท่วมหัวนึกถึงพระองค์ท่านและเดินเท้าลัดเลาะมาตลอดซึ่งในช่วงกลางคืนก็จะอาศัยหลับนอนใต้ต้นไม้

ตนได้ปีนหน้าผาถึง 4 ครั้งเพื่อที่จะเดินลงมาในพื้นที่ราบ และที่ในช่วงที่เดินทางก็ไปเห็นคนเลี้ยงวัวในป่า ซึ่งก็พยายามจะพูดด้วยแต่คนเลี้ยงวัวในป่าก็ไม่ตอบ จึงคิดว่านี่คืออาถรรพ์ที่ตนได้เห็นในป่าภูพาน ต่อข้อซักถามที่ว่า การค้นหาเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม “ลุงก้อย” ได้ยินเสียงหรือเห็นผู้ค้นหาหรือไม่นั้น “ลุงก้อย” ตอบทั้งน้ำตาว่า ไม่เคยได้ยินเสียงใครเลย เหมือนมีอะไรมาบังตา โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ในวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ตนได้เห็นแสงสีเขียวดวงใหญ่รอยอยู่ในบริเวณที่ตนนอน ชัดเจนว่าไม่ใช่แสงของหิ่งห้อยแน่นอน แต่เชื่อว่าเป็นแสงสีเขียวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเช้าวันที่ 17 สิงหาคม จึงตัดสินใจเดินมุ่งหน้ามาตามจุดที่เคยเห็นแสง ก็มาพบ เด็ก 2 คนและครั้งนี้เมื่อตนได้เรียก เด็กก็ตอบ จึงเชื่อว่าตนเองปลอดภัยและเด็กทั้งสองคนก็ได้พาลงมาพบเจ้าหน้าที่

นายสมพูล กล่าวว่า ตนเชื่อว่าสิ่งที่รอดพ้นภัยด้วยพระบารมีของในหลวง ร.10 เพราะตนคิดเสมอว่าสิ่งที่ได้รับโอกาสในการเป็นจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ ทุกวันทุกเข้าตนจะออกไปโบกรถที่หน้าโรงเรียนในหมู่บ้าน และก็จะช่วยเหลือเพื่อนบ้านและงานทางอำเภอ ทั้งเป็น อป.พร.และอสม.ซึ่งจะทำทุกวันด้วยความสุขใจ จึงเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้ และก็ต้องขอขอบพระคุณ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ เพื่อนบ้านทุกคน ทั้งกาฬสินธุ์และสกลนครที่ช่วยเหลือตน

ด้าน นพ.บรรพจน์ สุวรรณชาติ ผอ.รพ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การตรวจสุขภาพไม่ปรากฏว่ามีเชื้อโรคอะไร เพราะคนไข้มีสุขภาพที่แข็งแรงดี แต่ยังคงมีสภาพร่างกายที่อิดโรย ซึ่งนับจากนี้ก็จะเป็นกระบวนการฟื้นฟูสภาพจิตใจและร่างกาย ทั้งนี้จะต้องขอให้คนไข้ได้พักร่างกายเป็นเวลา 7 วันจึงจะพร้อมที่จะให้ข่าวต่อไปได้

ด้าน นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือปาฏิหารย์ เพราะเท่าที่พูดคุยกัน “ลุงก้อย” ไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้กลับออกมาจากป่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือพระบารมีของในหลวง ร.10 เพราะลุงก้อย คือจิตอาสาฯ ที่ทำความดีมาโดยตลอด ซึ่งต่อไปนี้คงเป็นเรื่องของการฟื้นฟูสุขภาพกายและจิตใจ ในส่วนของเด็กสองคนที่ไปพบนั้น ทางจังหวัดจะดำเนินการประกาศเกียรติคุณเพื่อยกย่องในคุณงามความดี เพราะสังคมต้องการคนดี และคนกาฬสินธุ์ทุกคนก็เป็นคนดี สิ่งที่ได้มากนอกจากการช่วยเหลือนั้นคือความสามัคคี

“เรากำลังดำเนินโครงการคนกาฬสินธุ์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งที่จังหวัดดำเนินการทุกวันนั่นคือการสร้างความสามัคคีให้ทุกคนรักกัน ให้ทุกคนช่วยเหลือกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่แสดงว่าคนกาฬสินธุ์พร้อมที่จะช่วยเหลือกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ยากดี มีจน ทุกคนจะต้องมีสิทธิ์ในการช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน” นายไกรสร กล่าว

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook