หมอยืนยันป้าเข้าเกียร์พุ่งชน รปภ.ป่วยจริง เคยแนะให้หยุดขับรถแล้ว

หมอยืนยันป้าเข้าเกียร์พุ่งชน รปภ.ป่วยจริง เคยแนะให้หยุดขับรถแล้ว

หมอยืนยันป้าเข้าเกียร์พุ่งชน รปภ.ป่วยจริง เคยแนะให้หยุดขับรถแล้ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หมอเคยรักษาป้าขับรถชน รปภ.สนามบิน ยืนยันป่วยโรคสมองเสื่อม มีประวัติชัดเจน จะมีอาการหลงลืม ซึมเศร้า เคยแนะนำให้เลิกขับรถเพราะเกรงจะหลงทาง ไม่ใช่เป็นการแอบอ้างว่าป่วย

ความคืบหน้า กรณีคุณป้าวัย 69 ปีขับรถพุ่งชน รปภ.ท่าอากาศยานเชียงใหม่และรถยนต์เสียหายอีก 4 คัน ซึ่งหลังเกิดเหตุ นางสาวภัทรา อายุ 69 ปี ได้รอมอบตัวและได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสาเหตุของการขับรถชนเกิดจากอาการป่วยโรคสมองเสื่อม และโรคความจำเสื่อม และมีอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง โมโหง่ายเมื่อถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม ทำให้ในโลกโซเชี่ยลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์

ล่าสุดทางทีมข่าวได้ติดตามไปสัมภาษณ์ หนึ่งในแพทย์ที่เคยทำการรักษาผู้ป่วยรายนี้มา คือ รศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประสาทวิทยา อุปนายกสมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการมีสุข Society เผยว่า ตอนนี้ได้ประสานและได้รับการอนุญาตจากทางเจ้าตัวผู้ป่วย และทางญาติให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนได้

>> ป้าขับรถชนรปภ.สนามบิน อ้างป่วยสมองเสื่อม-รถเสียหลัก เหยื่อยังอยู่ไอซียู

โดยได้ยืนยันว่า ผู้ป่วยได้เข้ารับการตรวจและให้คำปรึกษา ที่คลินิกศิวพรศูนย์สุขภาพ ซึ่งเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจริง เมื่อช่วง 1 ปีก่อน หลังจากนั้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็ได้เข้ารักษาตัวที่ศูนย์โรคสมองภาคเหนือ และยังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาท ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมตามเอกสารที่นำไปอ้างอิงจริง

รศ.พญ.ศิวาพร ยังเปิดเผยว่า ซึ่งผู้ป่วยนั้นมีปัญหาในเรื่องของความจำ มักมีอาการหลงๆ ลืมๆ บ่อยครั้ง รวมไปถึงมีอาการของโรคสมองเสื่อม ซึ่งอาการของโรคนี้มีอาการแสดงอยู่ 3 อย่าง อันแรกคือเรื่องวุฒิปัญญา มีปัญหาในเรื่องของความจำและการวางแผน

อันที่สองคือเรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ที่มีอาการซึมเศร้า และอาการก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย ส่วนอันที่สามคือปัญหาเรื่องของการดูแลตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการขี้ลืมและเรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมหากขับรถหากเกิดความหงุดหงิดจะมีอาการมากกว่าคนปกติ และนอกจากนี้คนที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าวเมื่อขับรถอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับตัวเองมากกว่า เนื่องจากอาจเกิดการหลงทาง และเมื่อมีเหตุอะไรมากระตุ้นก็จะทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ยาก รวมไปถึงมีอารมณ์ฉันเฉียวมากกว่าคนปกติเนื่องมาจากอาการของโรค

รศ.พญ.ศิวาพร กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันปัจจุบันประเทศไทยก็ถือได้ว่าเป็นประเทศผู้สูงอายุ ซึ่งโรคที่มากับผู้สูงอายุและเกี่ยวกับสมองก็คือโรคสมองเสื่อม ที่พบเจอเยอะมาก และโรคสมองเสื่อมที่พบเจอก็จะมีอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดสมองตีบ และปัจจัยอื่นๆ แต่ก็สามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้จากการออกกำลังกาย การฝึกสมอง และการลดความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้แล้วในด้านของการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคดังกล่าวก็แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือการรักษาด้วยยา แต่ยานั้นก็มีราคาสูง และได้ผลที่ไม่ชัดเจน มีผลข้างเคียงมาก และการรักษาด้วยผู้ดูแล ที่เป็นญาติหรือคนใกล้ชิด รวมไปถึงผู้ดูแลที่ถูกจ้างมา

ดังนั้นการดูแลลักษณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์และความรู้พอสมควร เพื่อให้สามารถดูแลและเข้าใจผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก และการดูแลยังแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ การพยายามให้คนไข้สามารถทำในสิ่งที่เคยทำได้เช่นเดิม อีกอันคือการรักษาเรื่องของอารมณ์โดยการให้ออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการดูแลรักษาร่างกายโดยทั่วไป

>> ก็แค่จอดในที่ห้ามจอด คุณป้ายัวะเข้าเกียร์ขับพุ่งชน รปภ.สนามบินกระเด็น

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยังผู้ใกล้ชิดที่ดูแลคุณป้า บอกว่าวันที่เกิดเหตุอาสาขับรถไปส่งเพื่อนที่สนามบินไปต่างประเทศ ตั้งใจจอดรถไว้ไม่นานเพื่อเข้าไปส่ง แต่พอช่วงเข้าไปจะกลับออกมาเกิดอาการหลงลืม ทั้งหลงช่องทางที่จะเดินออกจากตัวอาคาร และที่จอดรถจนต้องใช้เวลานานกว่าจะหารถเจอ แถมมาเจอสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์จากการถูกล็อกล้อ เข้าไปอีกจึงเกิดอารมณ์รุนแรงและโมโหขึ้น หลังเกิดเหตุยังเกิดอาการช็อก ลืมสิ่งที่กระทำลงไปด้วย

ทั้งนี้ ทางฝั่งผู้ก่อเหตุได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณีรวมทั้งรับผิดชอบดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วย แม้จะพยายามติดต่อเข้าเยี่ยมอาการแต่ทางฝั่งตรงข้ามยังขอให้รอเวลาก่อนเนื่องจากยังไม่พร้อมจะพูดคุนในสถานการณ์ตรึงเครียดเช่นนี้อยู่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook