ชาวบ้านบ่นอุบ-ระอาปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์เรื้อรังเกาไม่ถูกที่คัน กายทรุดจิตเสื่อม
( 23 ส.ค. 61 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ต่อการประกอบอาชีพคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของชาวบ้านใน ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการคัดแยกขยะพิษ ของโรงงานคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าต่างประเทศ โดยระบุเกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งนำไปสู่การสั่งปิดโรงงาน และมีประกาศระงับการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ
ขณะที่ จ.กาฬสินธุ์ ได้เกิดการตื่นตัวตรวจสอบสถานประกอบการ และรีเช็คเส้นทางการเคลื่อนย้ายขยะ มีความพยายามปัดฝุ่นโครงการสร้างเตาเผาขยะ เพื่อลดมลพิษ และป้องกันอันตรายจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากที่รอคอยมานานกว่า 20 ปี ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 23 สิงหาคม 2561 ผู้สื่อข่าวประจำ จ.กาฬสินธุ์ ยังเกาะติดบรรยากาศการประกอบอาชีพคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในเขต ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ โดยเฉพาะบ้านหนองบัว หมู่ 3 และ หมู่ 11 ต.โคกสะอาด ซึ่งเป็นชุมชนคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์แหล่งใหญ่ พบว่าบรรดาผู้ประกอบการ ยังคงทำการคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์กันอย่างปกติ อย่างที่เคยทำกันมาตลอด 20 กว่าปี โดยไม่มีใครรู้สึกสะทกสะท้านต่อกระแสข่าวการได้รับสารตะกั่ว หรือสารพิษจากชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย หรือทำลายระบบนิเวศ ตามกระแสข่าว
นายสมัย อายุ 58 ปี ชาวบ้าน บ้านหนองบัว ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนประกอบอาชีพคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์มาประมาณ 20 ปี โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาคัดแยกเอาชิ้นส่วนที่มีค่ารวบรวมขาย สร้างรายได้จุนเจือครอบครัวนั้น ได้จากการออกตระเวนหาตามหมู่บ้านต่างๆ และรับซื้อจากพ่อค้าเร่บ้าง จึงเป็นขยะบริสุทธิ์ภายในประเทศ ไม่ได้เป็นขยะนำเข้าจากปะเทศ
ทั้งนี้ แต่เดิมจะคัดแยกทุกประเภท แต่ปัจจุบันทีวีกับมือถือหายากมากขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มผู้ประกอบการเฉพาะด้านนี้จำนวนมาก และมีการผูกขาดเป็นขาประจำกับแหล่งที่ไปรับซื้อ จึงคัดแยกตู้เย็นกับพัดลมเป็นหลัก เพราะทำง่ายและขายชิ้นส่วนได้กำไรดี
“ในประเด็นที่สังคมกำลังจับตามองเราอยู่ คือ ผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั้น ตนและเพื่อนบ้านผู้ประกอบการอาชีพเดียวกัน ที่คลุกคลีกับการคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ กลับมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่ผ่านมา ตนและทุกคนในครอบครัว ก็ดำรงตนอยู่ เป็นปกติ ทุกคนยังมีสภาพร่างกายแข็งแรง ปลอดภัย ไม่มีภาวะใดแทรกซ้อนให้มีอาการเจ็บป่วย ถึงช่วงตรวจสุขภาพ ก็เข้ารับการตรวจเลือดกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่พบว่าจะมีสารตะกั่วหรือสารพิษตกค้างในกระแสเลือดแต่อย่างใด” นายสมัยกล่าว
นายสมัย กล่าวต่อว่า กรณีที่เคยมีหลายหน่วยงานเข้ามาศึกษา และจะหาวิธีการควบคุมการคัดแยกขยะให้ปลอดภัย รวมทั้งจะจัดงบประมาณมาก่อสร้างเตาเผาขยะนั้น หากทำได้ก็จะเป็นเรื่องดี เพราะเป็นความหวังอยากได้ของชาวบ้านอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาการลักลอบเผาเศษขยะที่ไม่ต้องการ เช่น โฟมที่คัดแยกจากตู้เย็น พลาสติกจากสายไฟ หรือยางรถจักรยานยนต์ โดยมีการเผาทำลายอย่างถูกวิธี ไม่มีกลิ่นควันที่จะทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
แต่ที่ผ่านมาก็แค่เห็นมาลงพื้นที่ และฝากความหวังลมๆ แล้งๆ กับชาวบ้านแค่นั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะลงมือทำอะไรเลย พอมีกระแสข่าวเกิดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่อื่นก็พากันตื่นข่าว ออกมาตรวจสอบการประกอบอาชีพของชาวบ้าน แจ้งว่า เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะที่ชาวบ้านเราดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพคัดแยกกันอย่างปกติสุข เพราะเราอยู่กันอย่างเคยชินกับสภาพนี้มานานแล้ว
ขณะที่ นายวิศิษฏ์ อายุ 63 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านหนองตอกแป้น ม.5 ต.หนองตอกแป้น อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ชาวบ้านใน ต.หนองตอกแป้น 9 หมู่บ้าน รวมทั้ง ต.หัวงัว อ.ยางตลาด, ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ที่อยู่ห่างจากบ่อกำจัดขยะของ อบต.โคกสะอาด ประมาณ 3-5 กม. หรือรัศมีไกลออกไปถึง ต.ท่าตูม และ ต.เขวา อ.เมือง จ.มหาสารคาม ประมาณ 10-15 กม.ที่อยู่ใต้ลม ต้องทนทุกข์ทรมานจากการสูดกลิ่นเหม็น ที่เกิดจากการเผาไหม้โฟม เศษยาง พลาสติก มากว่า 20 ปี ทั้งๆ ที่เคยมีการร่วมประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งในระดับท้องถิ่นและอำเภอหลายครั้ง ก็ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น
“ส่วนมากกลิ่นเหม็นจะโชยมาอย่างรุนแรงในช่วงค่ำ ซึ่งเป็นตอนมีการลักลอบเผาขยะ บางครั้งจะเห็นกลุ่มหมอกควันลอยมาในระดับต่ำบ้าง สูงบ้าง ตามแรงกดดันของอากาศ ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านที่ได้สูดกลิ่นเหม็นดังกล่าวมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ ลำคอแห้ง
อย่างไรก็ตาม ทราบว่า เคยมีนักวิชาการด้านสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม มาลงพื้นที่ เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชุมชนใกล้เคียง ก็ไม่เห็นว่าจะมีการดำเนินการอะไร เพราะมีแต่นักวิชาการแต่ไม่มีนักปฏิบัติ ปัญหาก็ยังเป็นปัญหาเรื้อรังมาถึงทุกวันนี้” นายวิศิษฏ์กล่าว
นายวิศิษฏ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่ชาวบ้าน ต.หนองตอกแป้น และใกล้เคียงกำลังเผชิญ จากการเผาเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังมีอีกคือ ตำบลเราเป็นโซนเกษตรอินทรีย์ ซึ่งมีการปลูกข้าวอินทรีย์เพื่อสุขภาพมากว่า 10 ปี แต่หลังจากกระแสลมพัดพาควันพิษเข้ามาพื้นที่ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ทำให้ผลผลิตข้าวอินทรีย์เสียหาย
เมื่อนำเมล็ดข้าวไปทำการวัดคุณภาพ จึงไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากมีสารพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ขยะปนเปื้อน จึงเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำลายอนาคตข้าวอินทรีย์ และบั่นทอนสุขภาพชุมชน ถือเป็นความเสียหายต่อระบบห่วงโซ่อาหาร กระทบต่อการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตของชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องทนรับควันพิษอย่างเต็มๆ
“ขอเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เข้ามาใส่ใจดูแลสุขภาพชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมชุมชนใกล้เคียงอย่างจริงจัง และจริงใจ ไม่ใช่แก้ไขที่ปลายเหตุอย่างที่กำลังทำๆ กันอยู่ทุกวันนี้ คือตรวจร่างกาย หาค่าสารพิษตกค้าง ควบคุมการคัดแยกและลดปริมาณขยะเข้าพื้นที่เท่านั้น เหมือนเกาไม่ถูกที่คัน ทำผ่านไปวันๆ
โดยสิ่งที่ควรทำ คือ เร่งประสานกับทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นมิตร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ไม่ใช่ต่างคิดต่างทำ ทั้งนี้เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด ตามนโยบาย นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ ให้ไว้ เป็นแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ว่า ชาวบ้านอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมอยู่ได้” นายวิศิษฏ์กล่าวในที่สุด
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ