“ซีดี กันต์ธีร์” เคลียร์ดราม่า จ่าย 3 แสน ค่าบีทเพลงฮิต ไมโครโฟน
ปิดฉากดราม่าไปแบบหล่อๆ สำหรับนักร้องหนุ่มสายแร็ป ซีดี-กันต์ธีร์ ปิติธัญ เจ้าของเพลงฮิตมาแรง ไมโครโฟน ที่มียอดคนฟังพุ่งสูงถึง 18 ล้านวิว ก่อนเจอเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เกี่ยวกับทำนองเพลงที่ใช้ว่ามีความคล้ายคลึงกับผลงานของ แดนนี่ โปรดิวเซอร์ชาวอเมริกา จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่างานนี้จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทางดนตรีหรือเปล่า ?
และถึงแม้ภายหลังนักร้องหนุ่ม ซีดี กันต์ธีร์ และเพื่อนร่วมวง จะออกมาชี้แจงรายละเอียดด้วยการโพสต์ข้อความลงในช่องทางโซเชียล และกล่าวคำขอโทษกับการกระทำรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น เจ้าตัวก็ยังระบุอีกด้วยว่า ตนและอีกฝ่ายได้มีการพูดคุยและตกลงกันอย่างชัดเจน รวมถึงมีกำหนดการ การชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันที่ 30 สิงหาคม นี้ ตนจะสามารถใช้ทำนองเพลงดังกล่าวตามปกติในทุกๆ ช่องทางการรับฟัง
โดยล่าสุดผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสเจอกับ ซีดี กันต์ธีร์ จึงได้เข้าไปสอบถามเพิ่มเติมถึงเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้น ซึ่งงานนี้นักร้องแร็ปเปอร์คนดังได้เปิดเผยกับเราว่า...
>> "ซีดี กันต์ธีร์" อดีตผู้ประกวดเวทีดัง กับการพิสูจน์ตัวเองในฐานะแร็ปเปอร์อิสระ
“ปัญหาเรื่องเพลงตอนนี้เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ จบกันที่ตัวเลขประมาณ 300,000 บาท โดยประมาณ หรือประมาณ 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ทางเจ้าของบีทเขาขอมา เพราะเราเองก็ทำผิดจริง จึงต้องรีบโอนไป เพียงแต่ว่า ณ เวลานี้ผมยังไม่ได้โอนเงิน 10,000 ดอลลาร์นะครับ ต้องรอให้ถึงวันที่เซ็นต์สัญญาก่อน”
ความผิดพลาดครั้งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ?
“จริงๆ ก็คือผมไปเอาบีทเพลงเขามาครับ เนื่องจากว่าบีทของเพลงนี้มันอยู่ในช่องยูทูบและตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นบีทฟรี ผมก็เลยดาวน์โหลดมาใช้ ซึ่งมันก็เหมือนเป็นการฝึกแร็ปอ่ะครับ เพราะในช่วงของการทำเพลงช่วงแรกๆ ผมก็คิดว่ามันไม่ผิดจึงดาวน์โหลดมา และก็อัดเสียง ถ่ายเอ็มวี จากนั้นจึงค่อยนำมาโพสต์ลง"
"จากนั้นพอเพลงมันเริ่มเข้าสู่วิวที่ 5,000,000 ผมจึงเห็นว่ามีโฆษณาติด เลยรีบไปเช็กหลังบ้านถึงได้เห็นว่ามันมีการทำเงินตั้งแต่วิวแรก ดังนั้นผมจึงรีบติดต่อไปทางเจ้าของบีท เพื่อคุยกับเขาว่าเราจะสามารถซื้อหรือทำอะไรได้บ้าง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็ได้ทำการซื้อแล้วด้วยนะครับเป็นจำนวนเงินประมาณ 7,000 บาท แต่หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน เขาก็ทักมาอีกว่า เราไม่สามารถทำแบบนี้ได้นะ ผมจึงตัดสินใจว่าขอปิดการเผยแพร่เพลงนี้ไปก่อน แล้วจึงค่อยไปเคลียร์กับเขาผ่านทางอีเมลเนื่องจากว่าเขาอาศัยอยู่ในอเมริกา"
"จนสุดท้ายเราก็ตกลงกันว่าเขาอยากได้ตัวเลขเท่านี้ ซึ่งทางผมเองก็โอเคและกำลังจะทำสัญญากัน โดยผมต้องโอนเงินให้เขาประมาณ 300,000 บาท และอย่างที่บอกครับ ผมยอมรับทุกอย่างในสิ่งที่ผมทำผิด ส่วนเรื่องที่คนมองว่าผมก็อปเพลงนั้น ผมอยากจะชี้แจงนะครับว่ามันไม่ใช่ เพราะมันเป็นแค่การที่เราเอาบีทที่เขาขายมาใช้ครับ แต่เนื้อเพลงต่างๆ ผมแต่งเองหมด”
จริงๆ ตอนแรกที่เราคิดจะทำเพลง ทำไมเราไม่ตัดสินใจซื้อบีทของเขามาตั้งแต่ตอนนั้นเลย ?
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับ คืออย่างที่ทราบพอผมรู้เรื่องปุ๊บ ผมก็รีบปิดการเผยแพร่เพลงทันที รวมถึงโพสต์ข้อความขอโทษเจ้าของบีท และก็รีบติดต่อไปหาเขาเพื่อขอซื้อโดยทันที”
ครั้งแรกที่เรารู้ว่าบีทที่นำมาใช้มันไม่ถูกลิขสิทธิ์ เราเป็นคนรู้เองหรือเจ้าของบีทเขาทักท้วงมา ?
“เขาเป็นคนเข้ามาคอมเมนต์บอกกับผมครับว่า ไม่สามารถทำแบบนี้ได้นะ จากนั้นผมจึงรีบปิดการเผยแพร่เพลง และออกมาชี้แจงรายละเอียดผ่านทางอินสตาแกรม ส่วนเรื่องการพูคคุยกันล่าสุดหลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็บอกว่าผมสามารถเปิดเพลงนี้ต่อไปได้ เมื่อเช้านี้ผมก็เลยเปิดครับ”
ตอนแรกที่เกิดเรื่องเรารู้สึกนอยด์ไหม ?
“มันเหมือนเป็นบทเรียนของเรามากกว่าครับ เพราะครั้งแรกที่ทราบเรื่องผมเองก็ตกใจเหมือนกัน และก็รีบปิดเพลง รวมถึงขอโทษทุกคนทันที”
กังวลไหมว่าหลังจากนี้จะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก ?
“ผมคิดว่าทางฝั่งนั้นเขาน่าจะโอเคแล้วนะครับ เพราะตัวเลขที่บอกไปเขาเป็นคนยืนยันมาเองทางอีเมล และผมเองก็มีหลักฐานทุกอย่างที่เขาบอกชัดเจนว่าเขาโอเคกับตัวเลขตรงนี้ ส่วนสัญญาที่จะต้องเซ็นต์ก็เป็นสัญญาที่เราทำร่วมกัน เป็นการเจอกันตรงกลางของเราทั้งสองฝ่ายครับ”
แบบนี้จะต้องระมัดระวังมากขึ้นไหมเรื่องการนำบีทหรือทำนองคนอื่นมาทำเพลง ?
“แน่นอนครับ ผมต้องระวังแน่นอนครับ หลังจากนี้ไม่มีแล้ว และถ้าหากในอนาคตผมอยากจะทำเพลงใหม่ ก็ต้องติดต่อเขาไปเลยว่าเราจะเอาบีทเพลงนั้นเพลงนี้ ทุกอย่างก็จะได้จบตั้งแต่แรก”
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ