เคอิโงะ เพ้อพ่อไม่รัก-ปิดปากเงียบ! คัทซูมิ บอกไม่สะดวกมาไม่ได้

เคอิโงะ เพ้อพ่อไม่รัก-ปิดปากเงียบ! คัทซูมิ บอกไม่สะดวกมาไม่ได้

เคอิโงะ เพ้อพ่อไม่รัก-ปิดปากเงียบ! คัทซูมิ บอกไม่สะดวกมาไม่ได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เคอิโงะ"น้ำตาซึมเพ้อ"พ่อไม่รักหนู" "คัทซูมิ"ไม่อยากเปิดเผยตัวยังบินมาไทยไม่ได้ "บุญรอด"ใจดีมอบตั๋วบิน"โตเกียว-กรุงเทพฯ" ปลัด พม.ยันย้าย พมจ.ที่ จ.บุรีรัมย์ไม่เกี่ยวไม่สนใจเด็ก

นายสมชัย หทยตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ถึงกรณี ด.ช.เคอิโงะ ซาโต วัย 9 ขวบ ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น เดินโชว์ภาพนายคัทซูมิ ซาโต พ่อชาวญี่ปุ่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายัง จ.พิจิตร ดูพร้อมสอบถามว่ารู้จักบุคคลในภาพหรือไม่ว่า นางปัทมา จตุพิศ ป้า ของ ด.ช.เคอิโงะ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยว่าพบตัวนายคัทซูมิแล้ว แต่นายคัทซูมิไม่สะดวกที่จะเดินทางมาในประเทศไทย ในระยะนี้ และอยากให้ ด.ช.เคอิโงะไปกรุงเทพมหานคร แต่นางปัทมาป้าของ ด.ช.เคอิโงะ ปฏิเสธ โดยขอให้นายคัทซูมิโทรศัพท์ไปที่ จ.พิจิตร"น้องเคอิโงะทราบข่าวว่าพ่อมาพบไม่ได้ถึงกับร้องไห้ เสียใจและซึมเศร้า ผมรู้สึกสงสารและเป็นห่วงอย่างมาก" นายสมชัยกล่าว

นายสมชัยกล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้นายคัทซูมิโทรศัพท์จากญี่ปุ่นคุยกับ ด.ช. เคอิโงะ ขณะนี้ติดต่อล่ามแปลภาษาญี่ปุ่นและจัดห้องวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ศาลากลางจังหวัดพิจิตร ทั้งสองฝ่ายจะเห็นทั้งภาพและเสียง แต่สิ่งที่ ด.ช.เคอิโงะต้องการในขณะนี้อยากให้นายคัทซูมิเดินทางจากญี่ปุ่นมาหาด้วยตัวเอง

ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรกล่าวด้วยว่า ได้รับการติดต่อจากบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด พร้อมจะสนับสนุนตั๋วเครื่องบินจำนวน 3 ใบ เพื่อให้ ด.ช.เคอิโงะได้พบพ่อชาวญี่ปุ่น ตั๋วเครื่องบินที่มอบให้นี้ไม่มีเงื่อนไข ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นฝ่ายเดินทางไปหาระหว่างกรุงเทพฯ-โตเกียว หรือโตเกียว-กรุงเทพฯ

นางปัทมา จตุพิศ ป้า ด.ช.เคอิโงะ กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นแล้ว แต่นายคัทซูมิไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองและยังแจ้งว่าไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เพียงแต่บอกว่าจะโทรศัพท์คุยกับลูกชายเป็นการส่วนตัวไม่อยากให้เป็นข่าว

"เมื่อหลานชายรู้ข่าวว่าพ่อมาเมืองไทยไม่ได้ ถึงกับมีอาการซึม ร้องไห้ พูดเพียงอย่างเดียวว่าพ่อไม่รักหนู และไม่ยอมพูดจากับใคร ดิฉันรู้สึกสงสารมาก กำพร้าแม่แล้ว พ่อยังไม่สนใจอีก อยากฝากบอกนายคัทซูมิด้วยว่า เราเองไม่ต้องการอะไร ดิฉันเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เล็กเพราะเราเลี้ยงด้วยความรัก ส่วนหลานจะตามหาพ่อนั้นเพราะอยากมีพ่อเหมือนกับคนอื่น"

นางปัทมากล่าวว่า ไม่ได้หวังว่าจะให้นายคัทซูมิมาเลี้ยงดู ด.ช.เคอิโงะ และจะไม่เรียกร้องอะไร เงินบาทเดียวก็ไม่เอา เพียงอยากให้หลานชายได้เห็นหน้าพ่อ ได้กอดพ่อเท่านั้น

ด.ช.เคอิโงะ ซาโต ให้สัมภาษณ์ว่า เสียใจมากที่พ่อไม่มาหาและไม่บอกเหตุผล อยากจะฝากบอกนายคัทซูมิว่า คิดถึงและรักพ่อ

"ผมอยากให้พ่อมาหาเร็วๆ ไม่ต้องการอะไรจากพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือการเลี้ยงดู แค่อยากกอดพ่อให้หายคิดถึง ในชีวิตหลังจากที่แม่เสียชีวิตแล้ว มีป้าดูแล ผมอยากมีพ่อเหมือนคนอื่นเขา ไม่อยากให้เพื่อนๆ ล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่"ด.ช. เคอิโงะกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

ด้านนายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้ตรวจสอบความคืบหน้าจากสถานทูตไทยในญี่ปุ่น ทราบว่าขณะนี้ได้พบตัวบิดาของ ด.ช.เคอิโงะ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาแล้ว โดยทางบิดาชาวญี่ปุ่นจะขอติดต่อกับญาติของ ด.ช.เคอิโงะเอง ซึ่งเรื่องนี้เราต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเขา เนื่องจากกฎหมายของญี่ปุ่นในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลนั้นค่อนข้างแข็งแรง ดังนั้นขอให้การติดต่อกันระหว่างพ่อกับลูกเป็นเรื่องภายในครอบครัว

ทางด้านความคืบหน้ากรณีนายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีคำสั่งย้ายนายประสิทธิ์ มีช้าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พิจิตร ไปประจำตำแหน่งที่ จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากนายสมชัย หทยตันติ ผู้ว่าฯพิจิตรไม่พอใจที่นายประสิทธิ์ มีช้าง ไม่ดำเนินการช่วยเหลือ ด.ช.เคอิโงะทั้งที่ทราบเรื่องมาเป็นปีนั้น

ด้านนายประสิทธิ์ มีช้าง พมจ.พิจิตรให้สัมภาษณ์ภายหลังมีคำสั่งย้ายไปประจำที่ จ.บุรีรัมย์ ว่า ทราบข่าวการโยกย้ายมาจากสื่อมวลชนเหมือนกัน แต่ส่วนตัวยังไม่ได้เห็นคำสั่งย้ายแต่อย่างใด ทั้งนี้คงไม่ร้องขอความเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้นและพร้อมยินยอมทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

"เชื่อว่าการโยกย้ายผมไปเป็น พมจ.ที่ จ.บุรีรัมย์ นั้น คงไม่เกี่ยวกับกรณีการไม่เข้า ไปช่วย ด.ช.เคอิโงะ ซาโต ที่ตามหาพ่อชาวญี่ปุ่นแต่อย่างใด แต่น่าจะเป็นการโยกย้ายหมุนเวียน 6 จังหวัด คือ จ.อุทัยธานี พิจิตร สมุทรสงคราม นครนายก นครปฐม และบุรีรัมย์มากกว่า อีกเหตุผลหนึ่งคงเป็นความเหมาะในการบริหารจัดการของผู้บังคับบัญชา ผมในฐานะข้าราชการก็คงไม่ร้องขอความเป็นธรรม และพร้อมทำตามคำสั่ง ของผู้บังคับบัญชา ส่วนจะไปปฏิบัติงานที่ จ.บุรีรัมย์เมื่อใดนั้น คงต้องดูรายละเอียดในคำสั่งย้ายก่อน" นายประสิทธิ์กล่าว


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook