“ไนกี้” ขอโอกาสร่วมงาน “บอย ถกลเกียรติ” อีกครั้ง จุกจนพูดไม่ออกกับช่วงเวลาที่ผ่านมา

หลังจากที่ตัดสินใจปลีกตัวออกมาเป็นนักแสดงอิสระ ก็ดูเหมือนว่ากระแสของหนุ่ม ไนกี้-นิธิดล ป้อมสุวรรณ จะดูเบาลงอย่างเห็นได้ชัด จนล่าสุดมีกระแสข่าวลือออกมาว่า เจ้าตัวได้อ้อนขออยากกลับไปร่วมงานกับ บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ บิ๊กบอสของช่องวันอีกครั้ง

งานนี้เมื่อมีโอกาสเจอ ไนกี้ นิธิดล จึงได้สอบถามถึงประเด็นดังกล่าว โดยเจ้าตัวยอมรับว่าอยากกลับไปร่วมงานที่ค่ายแจ้งเกิดอีกจริง พร้อมเผยถึงช่วงเวลาที่ผ่านมายังมีเรื่องค้างคาใจที่ทำให้ไม่ได้คุยกับผู้ใหญ่ และปล่อยเวลาให้ผ่านมานาน เนื่องจากตอนนั้นยังจุกจนไม่สามารถจะพูดอะไรได้

มีข่าวแว่วมาว่า เราอ้อนอยากกลับไปร่วมงานกับคุณบอย ?
“อ๋อ พอดีเพิ่งได้ไปโปรโมทหนังที่ค่าย และพี่ๆ ทุกคนก็ได้เข้ามาคุย เราก็รู้สึกดีใจ รู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆ เราก็คิดถึงนายอยู่แล้วครับ เพราะพี่บอย พี่ป้อน ผู้ใหญ่ทุกคนให้โอกาสเรา เหมือนเราได้กลับไปที่บ้านเรา และทุกคนทักทายอย่างดี เราก็รู้สึกตื้นตันครับ”

ไม่มีละครกับพี่บอยนานแค่ไหนแล้ว ?
“น่าจะเกือบปีแล้วมั้งครับ”

คนเลยมองว่า พอเราออกไปเป็นนักแสดงอิสระแล้วไม่เปรี้ยง ก็อยากจะซมซานกลับมาที่เดิม ?
“(หัวเราะ) ก็แล้วแต่คนมองครับ แต่จริงๆ ที่ผมออกมาทำงาน ผมก็ทำงานตลอด 7 วันเลย”

ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไปไม่รอดแบบที่คนอื่นเขามองใช่ไหม ?
“ไม่ครับ เรามองว่าถ้านายมีเรื่องไหนที่มันตรงคาแรคเตอร์เรา ผมก็พร้อมที่จะกลับไปรับใช้นายอยู่แล้วครับ แต่เราออกมามันก็แล้วแต่คนที่มองนะครับ มันเหมือนเราได้ออกมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ เราก็มีงานนู่นนี่นั่น ได้เห็นในงานที่ไม่เคยทำ”

แต่มันดูไม่ค่อยเปรี้ยงเหมือนตอนที่เราอยู่ช่องวันหรือเปล่า ?
“สำหรับผมมันมาเรื่อยๆ อยู่แล้วครับ ไม่เคยที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครว่าจะต้องดังแค่ไหน เราก็มองว่าเรามาเรื่อยๆ ของเรา มันเหมือนกราฟครับ สำหรับตัวผมและพ่อแม่ที่อยู่ข้างเรามาตลอดจะมองว่าเรามาแบบนี้ เราไม่ได้มาขึ้นสุดหรือลงสุด เราจะค่อยๆ ไป ผมรู้สึกว่าเราก็ภูมิใจสำหรับตัวเราเอง เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่หน้าตาดี แต่เราเป็นคนที่ตั้งใจกับการทำงานเฉยๆ”

ความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสกลับมาร่วมงานช่องวัน มากน้อยแค่ไหน ?
“จริงๆ ถ้าผู้ใหญ่เรียกตัวผมก็จะกลับไปทำให้อย่างเต็มใจอยู่แล้วครับ ผมต้องขอบคุณพี่บอย พี่ป้อน ผู้ใหญ่ทุกๆ คน ผมจะบอกเสมอว่าเรารู้ตัวเองว่าเราเกิดจากอะไร เรามาจากไหน เรารู้สึกว่านายเป็นคนดีครับ”

เมื่อวานไปที่ตึกแกรมมี่ ได้มีโอกาสขึ้นไปทักทายผู้ใหญ่ไหม ?
“ไม่ได้ขึ้นไปครับ เพราะผมไปด้านหลังตึก ไปโปรโมททางด้านหลัง”

มีความรู้สึกว่าเราคิดผิดไหมที่ตัดสินใจก้าวออกมา ?
“ไม่อยากจะพูดว่าถูกหรือผิดนะครับ แต่มันเป็นช่วงของวุฒิภาวะมากกว่าในตอนนั้น และเราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวครับ ยังมีหลายๆ อย่าง หลายๆ ส่วน ที่มีคนตัดสินใจแทนเราด้วย เราอยู่ในขั้นตอนที่บางทีก็พูดไม่ออก เราไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ ครับกับบางอย่างที่เราไม่สามารถจะพูดได้ และตอนนั้นมันก็เป็นเรื่องของความจุกที่เราพูดไม่ออก เราดันปล่อยเองแหละให้มันเลยตามเลย มันก็เลยยาวมาถึงแบบนี้ จนมันยังค้างคาในใจ ไม่ได้พูดครับ แต่หากมีโอกาสก็จะเข้าไปพูด”

IG: nike_nitidonไนกี้ นิธิดล นักแสดงอิสระ

ในช่วงเวลาที่อัดอั้น มีเสียน้ำตาไหม เพราะเหมือนเราออกมาไม่ค่อยดี ?
“จะว่าแปลกไหม ไม่รู้นะ ผมฝันเห็นพี่บอยบ่อยมาก อันนี้เรื่องจริง ผมอาจจะยังมีความฝังใจ และผมก็รู้สึกว่าผมรับรู้ถึงสิ่งดีๆ ที่ผมได้รับเสมอ โอกาสดีๆ ที่เข้ามา ผมเข้ามาเป็นนักแสดง ผมก็ได้งานตลอด ไม่เคยมีวันว่างเลย เราก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่ามันออกมาเป็นแบบนี้แล้ว มันจะถูกหรือผิด ผมไม่อยากจะโทษใคร แต่ผมมองว่าถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสที่จะแก้ไขได้หรือมีโอกาสที่จะพูด ผมก็พร้อมที่จะพูด”

เรามีโอกาสได้บอกเล่าความรู้สึกนี้ให้พี่บอยได้ทราบหรือยัง ?
“ยังครับ ยังไม่มีโอกาสเล่าให้ใครฟังเลย เราเก็บไว้คนเดียวตลอด ช่วงนั้นมันจุกครับ ถ้าเราจะพูดอะไรออกไปแล้วรู้ตัวเองว่าจะร้องไห้ มันพูดไม่ออก เหมือนมันจุกมากครับ มันบีบ มันอัดแน่น จะพูดก็พูดไม่ได้อยู่ดี พูดไม่ออก เราเลยรู้สึกว่าค่อยรอวันหนึ่งแล้วกันที่เราพร้อมจริงๆ แล้วเราจะพูดมันออกไป”

เสียดายเวลาหรือโอกาสในช่วงเวลาที่หายไปไหม ?
“ผมว่าช่วงเวลาต่างๆ มันก็ทำให้เราโตขึ้นนะครับ สถานการณ์เวลาวันนั้น มันก็ทำให้เป็นไนกี้ในวันนี้ ถึงจะเสียดายมันก็กลับไปไม่ได้อยู่ดี มันย้อนกลับไปไม่ได้”

ช่วงเวลาที่เราตัดสินใจตอนนั้น เราไม่ได้น้อยใจใช่ไหม ?
“ไม่มีเลยครับ เราขอผู้ใหญ่ออกมาเพื่อทำงานบางอย่าง เท่านั้นเองครับ เพราะมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่แค่นั้น แต่มันเหตุปัจจัยบางเหตุที่ทำให้มันเลยเถิด ทำให้มันพลิกโดยที่เราไม่ได้ไปพูดตรงนั้นครับ ผมก็ไม่อยากที่จะโทษใคร จะบอกยังไงดีล่ะ บางทีผมแทบจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่เลยกับการที่เข้าไปคุยวันนั้น และมันก็เหมือนกับยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร อยู่ๆ ก็พูดออกไปและมันก็จบไปแล้วโดยที่เราไม่ได้พูด มันก็เลยเป็นความค้างคาใจที่เราจุกจนพูดไม่ออก และผมก็ดันเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไว้ตลอด ก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่ถูกนะครับ แต่มันมาถึงขนาดนี้แล้ว”