เจ้าหนี้โอด นักธุรกิจสาวดับคาเก๋งติดเงิน 5 ล้าน ญาติเซ็นรับสภาพหนี้แต่ไม่ยอมจ่าย
จากกรณีที่สาวนักธุรกิจ วัย 33 ปี ดับคารถเก๋งปริศนา ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการสรุปสำนวนในคดีดังกล่าวว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การถูกฆาตกรรมแต่อย่างใด จนกระทั่งเวลาผ่านเลยมานานเกือบ 2 เดือนแล้ว ซึ่งเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ทางครอบครัวของผู้ตายก็ได้เดินทางไปที่กรุงเทพฯ เพื่อร้องเรียนกองปราบขอความเป็นธรรมให้รื้อคดีนี้ใหม่นั่น
ความคืบหน้าล่าสุดนั่น ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปที่ สภ.ลืออำนาจเจริญ ซึ่งวันนี้ทาง ด้าน พ.ต.อ.ชัชนันต์ พรบุตร ผกก.สภ.ลืออำนาจ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ เนื่องจากเดินทางเข้าไปที่กรุงเทพฯ เข้าไปชี้แจ้งเกี่ยวกับคดีดังกล่าว พร้อมกับ พล.ต.ต.ถวาย บูรณรักษ์ ผบก.ภจว.อำนาจเจริญ ขณะที่ทางบ้านพ่อแม่ของผู้ตายเองก็ปิดบ้านเงียบไว้ เนื่องจากได้เดินทางเข้าไปที่กองปราบ เพื่อให้ตำรวจจากทางกองปราบ รื้อคดีนี้ใหม่อีกครั้ง
จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ไปที่ อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ เพื่อไปพบกับเจ้าหนี้ของผู้ตาย เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยนางสำรวย สงพงษ์ นายกเทศมนตรีตำบลหัวตะพาน หนึ่งในเจ้าหนี้ที่ผู้ตายติดหนี้อยู่ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ความเป็นไปได้ในเรื่องที่ทางครอบครัวของผู้ตายปักใจเชื่อว่า ผู้ตายนั่นจะถูกหนึ่งในเจ้าหนี้ฆ่าตายนั่นเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการที่เจ้าหนี้ไปทำร้ายลูกหนี้นั่น เพราะหากลูกหนี้เป็นอะไรไป แล้วเจ้าหนี้จะได้เงินคืนได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมานั่นผู้ตายก็ส่งดอกเงินที่ยืมจากตนไปมาโดยตลอด หากลูกหนี้ตายไปเงินที่ให้ยืมก็จะเท่ากับว่าสูญเปล่าเฉยๆ ซึ่งตนเองหลังจากทราบข่าวการตายของผู้ตายนั่นก็ตกใจเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางด้านสามีของผู้ตายก็ได้มีการทำหนังสือเซ็นสัญญารับสภาพหนี้ที่ผู้ตายนั่นได้ติดหนี้ตนไว้อยู่เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท
ขณะที่ทางนายยุทธนา ศรียางนอก หนึ่งบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับธุรกิจของผู้ตาย และเป็นบุคคลที่ทางด้านครอบครัวของผู้ตายสงสัยว่าจะรู้เห็นเกี่ยวกับการฆาตกรรม น.ส.ดวงจันทร์ นั่น เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วันที่เกิดเหตุนั่นผู้ตายได้นัดตนและเจ้าหนี้คนอื่นๆ ว่าจะนำเงินมาชำระหนี้ที่ ธกส.สาขาอำเภอหัวตะพาน ซึ่งทางด้านผู้ตายนั้นได้ติดหนี้ที่ตนหายืมมาให้นั่นเป็นจำนวนเงิน 5,580,000 บาท และผู้ตายก็ได้นำเงินมาคืนตนแล้วเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ทำให้เหลือหนี้ที่ผู้ตายติดอยู่อีกจำนวน 5,530,000 บาท ซึ่งหลังจากเสร็จงานศพของผู้ตาย สามีของผู้ตายเองก็ได้มาพูดคุยกับตนว่า จะขอรับใช้หนี้ที่ผู้ตายติดอยู่เอง แต่ขอให้บอกว่าสามีผู้ตายนั่นไม่ได้รู้เห็นเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ได้ไหม ตนก็แปลกใจเพราะตกลงว่าจะคืนเงิน แต่ทำไมต้องกลับคำว่าไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับธุรกิจของภรรยา ส่วนสาเหตุที่ทางด้านครอบครัวเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมให้รื้อคดีนี้ใหม่นั่น ตนก็ไม่รู้อะไรมาก ส่วนตัวก็คิดว่าทางด้านครอบครัวของผู้ตายต้องการที่จะบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายหนี้สิน เพราะเงินที่ครอบครัวตายต้องมาจ่ายชดใช้นั่นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ยิ่งเศรษฐกิจช่วงนี้ยิ่งทำมาหากินยาก