“ย้ง-บอมบ์” ให้เรื่อง “กัปตัน-มิ้ง” เป็นบทเรียน ทำละครวัยรุ่นแต่คุมชีวิตใครไม่ได้
ถูกกระแสจากชาวโซเชียลเข้าโจมตีไม่น้อยเหมือนกัน สำหรับบริษัทนาดาว บางกอก จำกัด กับการถูกตำหนิถึงเรื่องที่เป็นค่ายผลิตซีรีส์วัยรุ่นสะท้อนสังคมออกมาอย่างมากมาย แต่กลับควบคุมเด็กในสังกัดของตนเองไม่ได้ จนทำให้เกิดมหากาพย์ #มิ้งโป๊ะแตก ขึ้นมา
ล่าสุด บอมบ์-จงจิตต์ อินทุ่ง รองผู้อำนวยการแผนกดูแลศิลปิน บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด ได้ออกมาเปิดใจพร้อมกับ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด ถึงกระแสดังกล่าว โดยทั้งคู่ได้เผยให้ฟังว่า อยากให้ทุกคนเก็บเรื่องของ กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง และ มิ้ง-ศวภัทร สุนทรนันท์ ไว้เป็นบทเรียน และไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไปเจอปัญหานี้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่คนมองว่าเป็นค่ายทำซีรีส์งับรุ่นสะท้อนสังคม ไม่ได้ต้องการจะผลิตมาเพื่อสอนใคร แต่อยากให้อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน และก็รับปากไม่ได้ด้วยว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้นกับเด็กในสังกัดอีก
จากเหตุการณ์ กัปตัน-มิ้ง เมื่อวานฝ่ายหญิงออกมายอมรับว่าเรื่องที่ตั้งท้องไม่เป็นความจริง ในฐานะต้นสังกัดจะทำอย่างไร ?
บอม : “หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานที่มันเกิดขึ้น เจตนาของเราก่อนหน้านั้นในเรื่องของการยื่นฟ้องทั้งหมดมันคืออยากรู้ความจริง เหตุการณ์เมื่อวานคือได้ตามสิ่งที่เราต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวครอบครัวกัปตัน ตัวกัปตัน หรือแม้กระทั่งเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ได้รู้ถึงเจตนาที่เราอยากได้ นั่นก็คือความจริงค่ะ”
คุยกันนานไหม กว่าจะถึงขบวนการในขั้นตอนการไกล่เกลี่ย ?
บอม : “ปกติมันเป็นขั้นตอนของศาลอยู่แล้วค่ะ พอเรายื่นฟ้องไปแล้วก็จะมีเรื่องของการยื่นมานัดไกล่เกลี่ยกันก่อน”
ย้อนกลับไปในวันแรกที่ทางเราอยากจะเป็นตัวกลางพาไปฝากท้อง เพื่อต้องการจะพิสูจน์ด้วยใช่ไหม ?
บอม : “จริงๆ ช่วงตอนนั้นก็เป็นช่วงที่เราอยากจะตรวจสอบอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้พี่ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พอมันถึงจุดที่ทุกอย่างคลี่คลายไปหมดแล้วก็อยากให้เป็นเรื่องของอนาคตของทั้งสองคนแหละ ว่าในอนาคตข้างหน้าเขาจะเดินไปยังไง ใช้ชีวิตยังไง ทุกอย่างในบทเรียนมันเป็นชีวิตของเขามากกว่าค่ะ”
กับเรื่องที่ผ่านมาส่งผลกระทบกับตัวกัปตันเองมากแค่ไหน ?
ย้ง : “ถ้าพูดถึงเรื่องความกระทบกระเทือนคงเป็นในส่วนของทางด้านจิตใจแหละครับ กัปตันเป็นน้องที่พวกเรารัก และช่วงนี้นเราก็ทำงานอยู่ด้วยกัน ออกกองละครเลือดข้นฯ ก็รู้สึกว่าช่วงนั้นแทบไม่ได้ช่วยพี่บอมเลย เพราะตัวเองออกกองอยู่ และมีเวลาติดตามเรื่องนี้น้อยมาก แต่พี่บอมจะคอยอัปเดตเรื่องรางต่างๆ ก็พอรู้อยู่บ้าง แต่ช่วงเวลานั้นเราก็ยังไม่รู้ความจริง เราแค่ได้ยินมาแต่ด่วนสรุปอะไรไม่ได้เลย เราเลยทำได้แค่ฟังทั้งสองฝ่าย และหาวิธีที่พิสูจน์ความจริงตรงนั้นมั้งครับ ทีนี้พอเรื่องราวมันดำเนินต่อไปในช่วงระยะที่ผ่านมา สิ่งที่อยากจะบอกคือพอมันอยู่ในเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ถึงจุดหนึ่งเราก็ให้คุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ น้องกัปตัน และตัวน้องกัปตันเองเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกไปในเส้นทางไหนกับเรื่องนี้”
ย้ง : “ส่วนทางตัวผม ตัวพี่บอม ตัวนาดาว หรือน้องๆ ที่ทำงานร่วมกัน มีหน้าที่ในการซัพพอร์ต ให้กำลังใจเขา เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ออกกอง กัปตันจะดูนิ่งๆ เศร้าๆ เรามีหน้าที่ได้แค่เชียร์อัพ ที่ผ่านมาเวลาการทำงานอะไรก็ตาม กัปตันจะเต็มที่ตลอด เราเลยรู้สึกว่าไม่อยากให้น้องอยู่ในภาวะแบบนั้น ซึ่งก็รู้สึกดีครับที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันคลี่คลายไปในทางที่ดี ผมว่าจริงๆ แล้วสิ่งนี้น่าจะเป็นบทเรียนของวัยรุ่นทุกคนเนอะ ว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบมีสติและรักตัวเองให้มากๆ”
อย่างตอนที่จะฟ้อง กัปตันได้มาปรึกษาทางนาดาวบ้างไหม ?
บอม : “เราอยู่ในทุกขบวนการที่ได้เข้าไปรับรู้ทุกเรื่องค่ะ จะได้รับฟังทุกรายละเอียดว่าขั้นตอนไปถึงไหนแล้ว แต่อย่างที่ทราบคือทั้งหมดจะเป็นทางครอบครัวตัดสินใจ”
ถือว่าตอนนี้เรื่องจบลงไปได้ด้วยดี ?
ย้ง : “ครับ โชคดีมากเลยที่จบก่อนวันนี้ (หัวเราะ)”
ตัวพี่ย้งและพี่บอมเองก็โดนกระแสโจมตีหนักเหมือนกัน เพราะทำซีรีส์วัยรุ่นสะท้อนสังคมแต่เด็กในสังกัดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ?
ย้ง : “อยากจะบอกว่าจริงๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจจะสอนใครนะครับ เวลาที่เราเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน หรือ Hate Love เพราะอยากเล่าเรื่อง เรื่องหนึ่ง ให้คนดูฟัง แต่คนดูเขาจะมีความคิดหรือวิจารณญาณในการรับชมยังไง ถ้าถามพี่ว่าเหตุการณ์นี้เราได้เรียนรู้อะไร พี่ว่าดีนะ หมายถึงดีในแง่ที่ว่า ตัวพี่ ตัวพี่บอม หรือแม้แต่ตัวทุกคนในนาดาว รวมถึงตัวกัปตัน ล้วนเติบโตและเรียนรู้ผ่านเหตุการณ์นี้ว่าการใช้ชีวิตมันต้องมีสติ มันต้องระมัดระวัง ผมเลยรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ดี ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้อง เราควรจะเรียนรู้กับมันว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเราอีก แต่พี่ก็ไม่กล้ารับปากนะว่าจะไม่เกิดขึ้นกับน้องพี่อีก (หัวเราะ)”
จากนี้ต้องมีการประชุมหรือเปลี่ยนกฎใหม่ของนาดาวไหม ?
ย้ง : “ถ้าน้องเป็นศิลปินในสังกัดพี่ น้องจะรู้ว่าพี่เข้มงวดมาก แต่อย่างที่รู้ๆ กัน เพราะเราก็เคยเป็นวัยรุ่น เราก็เข้าใจว่าวัยรุ่นแต่ละคนจะมีฮอร์โมนของความพลุ่งพล่านที่บางจังหวะอาจจะขาดสติยังยั้งชั่งใจ ซึ่งเวลาที่สอนน้องๆ ทุกคนก็จะพยายามสอนว่า เราอย่าต้องไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเราเอง เราค่อยๆ เรียนรู้ และควรจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ที่คนอื่นเขาผ่านมา เช่น น้องๆ นักแสดงวัยรุ่นคนอื่นหรือเด็กวัยรุ่นทั่วไปก็ตาม มันควรจะมีเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนของชีวิตเขาได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเจอสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง”
แสดงว่ามันก็กระทบกับภาพลักษณ์ของศิลปินในสังกัดนาดาวของเราใช่ไหม ?
ย้ง : “กระทบอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่ามาถึงวันนี้ผมเชื่อว่าคนทั่วๆ ไป หลังจากทราบความจริงแล้วน่าจะเข้าใจเรามากขึ้น เราในฐานะที่เป็นบริษัทที่ดูแลน้องอยู่ เอาจริงๆ ตอนนั้นวางตัวยากมาก วางตัวลำบากมาก ในพาร์ทหนึ่งเราอาจจะรู้อะไรบางอย่างมา แต่มันก็ไม่ใช่ความจริงที่มันถูกพิสูจน์ได้ ดังนั้นการวางตัวที่เราทำได้ดีที่สุดในวันนั้นเท่านั้น มาถึงวันนี้ก็รู้สึกดีใจกับกัปตันด้วย ที่ทุกอย่างมันผ่านไปได้อย่างราบรื่น ดีใจกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย เห็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เศร้ามากๆ เห็นช่วงเวลาที่กัปตันจะไปทำงานแล้วหน้ามันไม่ไหวแล้ว ก็เลยรู้สึกแบบสงสารน้อง ก็คิดว่าพอเหตุการณ์มันผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนี้อยากให้กัปตันโฟกัสในการทำงาน แล้วก็ทำให้เต็มที่กับโปรเจกต์นี้ ให้ดีที่สุดครับ”
มีการบอกน้องๆ ในค่ายไหม ว่านี้เป็นเคสตัวอย่าง อย่าไปนอกลู่นอกทาง หรือต้องระมัดระวังตัวเองมากแค่ไหน ?
ย้ง : “การห้ามไม่ได้ช่วยอะไรมั้งครับ แนะนำว่าการอธิบายให้เขาเข้าใจมากกว่าว่าการใช้ชีวิตมันต้องระมัดระวังตัวยังไง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่เราจะห้ามไม่ให้เขาทำโน่นทำนี่อะไรก็ตาม เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตมันต้องมีสติ เป็นวัยรุ่นถ้าเขาอยากใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง ก็ต้องพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าเด็กฉลาดก็ไม่น่าจะอยากเจอสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ควรจะเรียนรู้จากเหตุการณ์ของคนอื่นได้”
>>ย้อนไทม์ไลน์ "มิ้ง ศวภัทร" กับบทเรียนราคาแพง โกหกว่าท้องจนโป๊ะแตก
ถามถึงเรื่องที่ นน ชานน ไม่ต่อสัญญา เขาได้เข้ามาปรึกษาก่อนไหม ?
ย้ง : “เริ่มต้นอาจจะต้องให้พี่บอมบ์เล่า แต่เท้าความก่อนแล้วกันว่า จริงๆ โดยปกตินักแสดงศิลปินในสังกัดนาดาว ก่อนหมดสัญญาเราจะมีการชวนคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ตัวน้องเอง เข้ามาพูดคุยกันก่อนอยู่แล้วครับ ในสัญญาจะระบุว่าถ้าสัญญาหมด แล้วไม่มีการพูดคุยกัน สัญญามันจะถูกต่อโดนอัตโนมัติ ในสัญญาโดยปกติจะเป็นแบบนั้น ทีนี้ในช่วงที่พี่บอมบ์ชวนคุณพ่อคุณแม่และตัวน้องเข้ามาพูดคุย เป็นช่วงที่นนกุลทำงานอยู่ที่เมืองจีน มันก็เลยทำให้การพูดคุยนี้ยังไม่มีการนัดหมาย เราเลยยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่หรือตัวน้องมีความตั้งใจอะไรไว้ มันก็เลยเลยมาจนกระทั่งระยะเวลาสัญญามันใกล้จะหมด”
ย้ง : “คุณพ่อก็เลยทำจดหมายแจ้งที่นาดาวว่าอาจจะขออนุญาตยังไม่ต่อสัญญาตอนนี้ เพราะว่าในสัญญาระบุว่า ถ้าตัดสินใจว่าอาจจะยังไม่ต่อสัญญาในทำจดหมายแจ้งเข้ามา ทางเราเองรู้จากจดหมาย แต่หลังจากนั้นพี่บอมบ์ก็จะแจ้งผู้บริหารทุกคน แล้วก็โทรหาคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากเข้าใจเหตุผลว่าทางเรามีการดูแลที่ขาดตกบกพร่องยังไง เราอยากพัฒนาตัวเราเอง แล้วก็ได้เกิดการพูดคุย แล้วก็เข้าใจปัญหา เข้าใจนนกุล เข้าใจคุณพ่อคุณแม่ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาในวันนี้ครับ”
บอมบ์ : “ก็ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่คร่าวๆ ค่ะ ส่วนใหญ่ตอนนี้ก็คืออย่างที่น้องให้กำลังใจสัมภาษณ์แหละ ก็เป็นช่วงเวลาที่น้องขอไปดูแลตัวเอง ในอนาคตก็ค่อยรอดูกันว่าจะเป็นประมาณไหนยังไงค่ะ”
ทางนาดาวเสียใจไหม นนกำลังมาแรงเลย ?
ย้ง : “จริงๆ ไม่ได้เสียดายเรื่องที่นนกุลกำลังมาครับ แต่ว่าเสียดายที่นนกุลเป็นนักแสดงที่เราอยากทำงานด้วย คือน้องๆ นักแสดงทุกคนที่นาดาวชวนเข้ามาอยู่ในสังกัดเรา เป็นน้องที่เรามีความคาดหวังว่าเราอยากให้เขาเป็นนักแสดงที่เราทำงานด้วยในอนาคต ไม่ว่าจะทำซีรีส์ ทำละคร แล้วนนกุลเป็นนักแสดงที่ดี ที่ผู้กำกับหลายๆ คนใน GDH อยากร่วมงานด้วย แต่มันอาจจะไม่ใช่ปัญหานะ เพราะต่อให้น้องออกไปเป็นนักแสดงอิสระ ก็สามารถทำงานกับพวกเราได้อยู่ดี เพียงแต่ว่าถ้าจะพูดตรงๆ ที่ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่ คิดว่าปัญหาในเรื่องการที่น้องไม่ต่อสัญญาในวันนี้ ส่วนในอนาคตเรายังไม่รู้ ในเป็นเรื่องว่าเหมือนระบบการทำงานบางอย่าง ของตัวนาดาวเอง ระบบเรามันล่าช้า การทำงานมันเลยทำให้เกิดความไม่ราบรื่นอะไรบางอย่างที่ มันเป็นการทำงานล้วนๆ ครับ”
ย้ง : “เหมือนเราคุยกันเองในบริษัทว่าช่วง 8-9 ปีที่นาดาว เปิดบริษัทมาทเราโฟกัสไปเรื่องพัฒนาศิลปิน เหมือนวันหนึ่ง GDH ฝากน้องๆ นักแสดงที่เคยเล่นหนังมาอยู่กับเรา เราก็อยากพัฒนาน้องกลุ่มนี้ให้เป็นเด็กที่เก่ง จนวันหนึ่ง GDH เอากลับไปเล่นหนัง แล้วเราก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการปั้นนักแสดงให้เก่งนี่แหละ จนเราอาจจะลืมพัฒนาระบบเราเอง พัฒนาตัวเราเองให้เก่งเท่าทันน้อง พอวันหนึ่งน้องล้ำหน้าไปกว่าเรา หมายถึงเขาพัฒนาตังเองไปไกลมาก เราอาจจะเป็นตัวที่ถ่วงอะไรบางอย่างของเขา นี่คือความจริง ผมรู้สึกว่าเคสนี้ เราประชุมบริษัทกัน แล้วเราก็บอกว่านาดาวต้องเรียนรู้จากเคสนี้ เราจะต้องก้าวผ่านเคสนี้ไปให้ได้ เราพยายามทำให้ดีที่สุด เราอาจจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่ เราอยากให้นนกุลกลับมาอยู่กับเรา แต่ถ้าวันนั้นมันไม่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเราควรจะเก่งขึ้นจากการที่นนกุลจากเราไปในวันนี้ คือเราต้องพัฒนาตัวเองให้ได้ครับ เป็นบทเรียนที่เราจะเก่งขึ้นให้ได้ครับ”