แม่หลั่งน้ำตา ลูกชายหายไป 19 ปี จัดงานศพไปแล้ว แต่จู่ๆ โผล่กลับบ้าน

แม่หลั่งน้ำตา ลูกชายหายไป 19 ปี จัดงานศพไปแล้ว แต่จู่ๆ โผล่กลับบ้าน

แม่หลั่งน้ำตา ลูกชายหายไป 19 ปี จัดงานศพไปแล้ว แต่จู่ๆ โผล่กลับบ้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อยู่ดีๆ ก็โผล่กลับมาบ้าน หลังหายไป 19 ปี แม่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ เผยที่ผ่านมาคิดว่าตายไปแล้ว ถึงกับทำพิธีเผาศพด้วยโลงเปล่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (11 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ พึ่งได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากชาวบ้านว่า 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่บ้านเลขที่ 154 ม.3 บ้านสังขะ ต.สังขะ จ.สุรินทร์ ได้มีการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ และผูกข้อไม้ข้อมือเพื่อรับขวัญต้อนรับ นายสมศักดิ์ สมยิ่ง อายุ 50 ปี ที่หายออกจากบ้านไปถึง 19 ปี ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มอายุ 31 ปี

หลังออกไปทำงานรับจ้างก่อสร้างยังต่างจังหวัดกับคนในหมู่บ้าน จนไม่สามารถติดต่อได้และไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย  และอยู่ดีๆ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายสมศักดิ์ กลับปรากฏตัวกลับมาบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ครอบครัวนี้ตามหาทุกวิถีทาง จนหมดความหวังที่จะตามหา และคิดว่าไม่มีชีวิตอยู่เสียแล้ว ท่ามกลางความดีใจของครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน

วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ไปยังบ้านหลังดังกล่าว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง พบกับ นายสมศักดิ์ พร้อมด้วยนางเอือด สมยิ่ง อายุ 72 ปี แม่ของนายสมศักดิ์ และญาติพี่น้อง นั่งอยู่บริเวณหน้าบ้านด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ขณะที่นางเอือดถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความรู้สึกของหัวอกแม่ที่ได้พบลูกชายอีกครั้ง

โดย นางเอือด แม่ของนายสมศักดิ์ พูดบอกผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตาว่า ตลอดมาคิดถึงลูกมาก คิดว่าเขาตายไปแล้ว ทำบุญหาเขาตลอด ตอนนี้เห็นลูกกลับมาบ้านแบบนี้แม่ก็ดีใจมากที่สุดแล้ว ไม่อยากจะได้อะไรอีกแล้ว ลูกหายไปตั้ง 19 ปี แม่ก็เสียใจเหมือนกัน คิดสงสารลูกไม่รู้ว่าลูกจะอยู่แบบไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร เห็นลูกกลับมาแม่ก็ดีใจ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้

ด้าน นายสมศักดิ์ ซึ่งพบว่าที่บริเวณหูทั้ง 2 ข้าง บิดเบี้ยวผิดรูป รวมทั้งหน้าผากและหน้าแข้งขาข้างขวา ก็มีร่องรอยของการถูกทำร้าย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณปี 2542  ตนได้ออกจากบ้านไปหาทำงานกับเพื่อนในหมู่บ้าน ตอนนั้นอายุประมาณ 31 ปี โดยพากันไปทำงานก่อสร้างที่ กทม.

ต่อมาเพื่อนได้หนีกลับมาก่อนทิ้งให้ตนอยู่ที่นั่นคนเดียว ซึ่งตนไม่รู้หนังสือก็เลยหาทางกลับไม่ได้ เลยระเหเร่ร่อนไปหาทำงานตามที่ต่างเรื่อยมา ส่วนมากจะเป็นงานก่อสร้าง โดยต่อมาได้ไปทำงานก่อสร้างอยู่ที่ จ.ภูเก็ต

จนปี 2558 มีเพื่อนชวนไปลงเรือจับปลา โดยมีนายหน้าที่อยู่ จ.สมุทรปราการ เป็นผู้ประสานงานให้ ว่าจะได้เงินเดือนละ 9 พันบาท พร้อมทั้งได้ยึดบัตรประชาชนไว้ด้วย ซึ่งขณะที่อยู่บนเรือหาปลาลำบากและทรมานมาก ไม่ค่อยได้ขึ้นฝั่ง และได้ถูกเพื่อนที่อยู่บนเรือด้วยกันทำร้าย พวกเขาเสพยาเสพติด ก่อนจะใช้พลั่วตีเข้าที่หัวบาดเจ็บหลายแห่ง ทั้งใบและหน้าผาก

จนในที่สุดได้ถูกทางการมาเลเซียจับกุม ติดคุกอยู่ที่มาเลเซียหลายเดือนกว่าจึงได้ออกมา โดยการช่วยเหลือของมูลนิธิปวีณาฯ รับกลับมาประเทศไทย และทางบริษัทนายหน้าได้ให้ไปทำงานอยู่ที่โรงน้ำแข็ง อีก 2 เดือน ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ เพราะไม่มีหลักฐานเอกสารยืนยันตัวตน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้พามาส่งที่บ้านน้องสาวที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ส่วนเงินที่ทางบริษัทนายหน้าว่าจะให้ตอนไปลงเรือ 6 หมื่นบาท ตอนนี้ได้มาแค่ 4 หมื่นบาทเท่านั้น และไม่รู้ว่าให้ครบหรือเปล่าตามที่ตกลงกันไว้เดือนละ 9 พัน เพราะแต่ละเดือนเขาจะให้เงินใช้แค่ 2-3 พันบาทเท่านั้น

ส่วนสาเหตุที่ไม่กลับมาบ้าน ตนเองกลับมาไม่ถูกเพราะไม่รู้หนังสือ จนเวลาล่วงเลยไปถึง 19 ปี ยอมรับว่าคิดถึงบ้านและแม่มาก

น.ส.นวลจันทร์ สมยิ่ง อายุ 53 ปี พี่สาวนายสมศักดิ์ บอกว่า ตอนนี้บริษัทที่พาน้องชายไปงานบนเรือประมงเขาส่งเงินมาให้แล้ว 4 หมื่นบาท พอดีได้เบอร์ทางนายหน้ามา เลยได้โทรไม่ถามเขาว่า ทำไมน้องชายกลับมาสภาพไม่เหมือนเดิม หน้าตามีรอยเต็มไปหมด เขาก็บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

ตนจึงถามเรื่องเงินว่าเขาให้มาแค่นี้หรือ เขาบอกว่าใช่และเดี๋ยวเขาจะโทรไปถามทางมาเลเซียดูให้อีกที พอวันหลังเขาโทรมาหาน้องสาวบอกว่า เงินเขาทั้งหมดเหลืออยู่แค่ 4 หมื่นบาท ก่อนจะขอเลขบัญชีและโอนเงินมาให้ ก็เลยคิดว่าเขาให้มาแค่นี้ก็ดีแล้ว ให้แต่น้องชายเรามีชีวิตกลับมาถึงบ้านก็ดีใจแล้ว

ที่ผ่านมาตลอด 19 ปี พวกเราก็ได้มีการออกตามหาอยู่ตลอด ทั้งลงเฟซบุ๊กประกาศหาตามหน่วยงานต่างๆ รวมถึงติดต่อรายการที่เขารู้เวลามีคนขึ้นเรือลงเรือ เขาก็จะแจ้งมาบอกประจำทุกปี ว่าไม่มีคนชื่อนี้ขึ้นลงเรือนะ

นายบุญช่วย ทองจันทร์ อายุ 55 ปี ญาตินายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายสมศักดิ์หายไปนานจนทางบ้านคิดว่าตายไปแล้ว จนแม่และญาติพี่น้องได้ทำพิธีเผาแบบโบราณให้ มีโลงมีอะไรทั้งหมด ทำพิธีเหมือนคนตายจริงๆ ประมาณ 2 ปีทีแล้วที่ทำ คิดว่ายังไงก็ตายไปแล้วแน่นอน

และหากถ้าเขายังไม่ตายก็ขอให้เขาร้อนรนกระวนกระวายใจให้คิดถึงบ้านอยากกลับมาบ้าน เราไม่คิดว่าเขาติดคุกอยู่ที่มาเลเซีย ตนทำงานอยู่กู้ชีพก็พยายามเช็คกับเพื่อนฝูงที่ทางภูเก็ตอยู่ตลอด ก็มีแต่ข่าวมาเรื่อยๆ ว่ายังมีชีวิตอยู่ จนมาทำบุญ คิดว่าไม่อยู่แล้ว ส่วนแม่เวลางานสารทหรืองานอะไรก็จะร้องไห้แบบนี้ตลอด ทำบุญให้ตลอด แล้วอยู่ๆ เขาก็โผล่มาเลยที่บ้านน้องสาว ที่อำเภอปราสาท

ขณะที่ นายจิรกิต ศรีไสย กำนันตำบลสังขะ บอกว่า ตอนนี้ตนได้ติดต่อประสานในเรื่องการทำบัตรประจำตัวประชาชนให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีที่เขายังไม่ย้ายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนกลาง ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะยุ่งยากเข้าไปอีก ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ได้บัตรประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook