สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร "กองทัพจีน" อย่างเด็ดขาด

สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร "กองทัพจีน" อย่างเด็ดขาด

สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร "กองทัพจีน" อย่างเด็ดขาด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นบัญชีดำสำนักงานพัฒนายุทโธปกรณ์ (EDD) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมจีน ที่มีหน้าที่จัดซื้ออาวุธรวมทั้งเครื่องมือทางทหาร และนายหลี่ ฉางฟู่ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนายุทโธปกรณ์ของจีนที่จัดซื้อเครื่องบินขับไล่ซุคฮอย ซู-35 จำนวน 10 เครื่อง รวมทั้งระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานเอส-400 จากบริษัทโรโซโบรอนเอ็กซ์พอร์ต ผู้ส่งออกอาวุธสงครามรายใหญ่ของทางการรัสเซีย

ผลจากการขึ้นบัญชีดำของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ทำให้ทรัพย์สินของสำนักงานพัฒนายุทโธปกรณ์ของจีน และทรัพย์สินของนายหลี่ ฉางฟู่ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาต้องถูกอายัดทั้งหมดและพลเมืองอเมริกันจะไม่สามารถทำธุรกิจกับสำนักงานพัฒนายุทโธปกรณ์ของจีน และนายหลี่ ฉางฟู่ได้โดยเด็ดขาด

>> สหรัฐ "คว่ำบาตร" จีน หลังไม่พอใจ ซื้อมิสไซล์-เครื่องบินขับไล่ จากรัสเซีย

นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนายุทโธปกรณ์ของจีนจะไม่ได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา และถูกตัดออกจากระบบการเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ยังขึ้นบัญชีดำบุคคล 33 รายที่เกี่ยวข้องกับกองทัพและหน่วยข่าวกรองรัสเซีย โดยสหรัฐฯ ระบุว่า จีนกระทำการฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรตะวันตกเริ่มบังคับใช้เมื่อ พ.ศ. 2557 เพื่อตอบโต้ต่อการบุกรุกคุกคามของรัสเซียต่อประเทศยูเครน และการที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา

ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ ระบุว่า การคว่ำบาตรครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่รัสเซีย และไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำลายความสามารถด้านกลาโหมของประเทศจีนเลย แต่ทางการจีนแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาทางทหารกับรัสเซียอย่างชัดแจ้ง จากการร่วมกันระหว่างรัสเซียกับจีนปฏิบัติการซ้อมรบ “วอสต็อก-2018” ในแถบไซบีเรียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้ว อีกทั้งยังชัดเจนว่าจีนจะไม่ระงับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงจากรัสเซีย

แม้ว่าเป้าหมายของการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้คือรัสเซียมากกว่าจีน แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือ จะเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลจีนและรัสเซียยิ่งหันมาร่วมมือกันมากขึ้น จากการที่ทั้งจีนและรัสเซียต่างเห็นพ้องกันว่าสหรัฐอเมริกาต้องการแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกในฐานะอภิมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในโลกทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจ

แม้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนจะใช้ถ้อยคำรุนแรงตอบโต้การประกาศคว่ำบาตรของสหรัฐฯ แต่จะได้เห็นว่าจีนโกรธเกรี้ยวต่อเรื่องนี้มากเพียงใดก็ต่อเมื่อจีนระบุชัดเจนขึ้นถึงมาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ

ด้านรัสเซียก็ออกมาวิจารณ์กรณีที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรจีนเช่นกัน โดยนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ชี้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่นายเซอร์เก เรียบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่า กำลังบั่นทอนเสถียรภาพโลกอย่างไม่แยแส ด้วยการเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์รัสเซีย-สหรัฐอเมริกา พร้อมกับขู่ว่าสหรัฐอเมริกากำลังเล่นอยู่กับไฟ

แต่การใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธที่จะบี้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนและบริษัทใหญ่ๆ ข้ามชาติของทุกประเทศ โดยมีรัฐบัญญัติให้อำนาจประธานาธิบดีถึง 3 ฉบับ ประกอบกับได้รับความร่วมมือจากข้อมูลของระบบการให้ข่าวของธนาคารและการเงินระหว่างประเทศทั่วโลกทางดิจิทัล ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง

ดังนั้นเป้าหมายของการลงโทษทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีต่อบุคคล นิติบุคคล ระบอบการปกครองใดระบอบการปกครองหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง และการควบคุมบริษัท บรรษัทข้ามชาติ สถาบันทางการเงิน บุคคล หรือนิติบุคคล โดยใช้เงินดอลลาร์อเมริกันแล้วก็จะถูกลงโทษอย่างสาหัสทันที เพราะเงินดอลลาร์ยังคงยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่นั่นเอง

>> โลกสั่นคลอน! เมื่อสหรัฐใช้ "ดอลลาร์" ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกเป็น "อาวุธ"

การคว่ำบาตรอาจเป็นวิธีที่ดีในการที่สหรัฐอเมริกาจะแสดงความไม่พอใจและสร้างความยากลำบากทางเศรษฐกิจให้กับรัสเซีย แต่คงจะไม่สามารถส่งผลในทางที่สหรัฐฯ ต้องการมากที่สุด นั่นคือ การทำให้รัสเซียเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย

จะเห็นได้ว่า ดุลยภาพทางเศรษฐกิจโลกกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไป และการใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาดูออกจะเป็นอาวุธที่ค่อยๆ อ่อนแอลง เนื่องจากอิหร่านประกาศใช้เงินยูโรในการซื้อขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว ทำให้เงินดอลลาร์อเมริกันลดอิทธิพลลงไปไม่น้อย เนื่องจากอิหร่านเป็นประเทศที่มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเป็นลำดับที่สองในภูมิภาคตะวันออกกลางรองจากซาอุดีอาระเบียเท่านั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook