พบตะปู-เข็มหมุดในลำไส้เล็กเจ้าอาวาส
แพทย์อุตรดิตถ์ ตะลึงผ่าตัดพบตะปู เข็มหมุด ในลำไส้เล็กเจ้าอาวาสวัดหาดสองแคว เจ้าตัวเผยไม่รู้เข้าสู้ร่างกายได้อย่างไร และเคยปวดท้องตั้งแต่ปี 2547 ก่อนไปเอ็กซเรย์พบถึง 3 ครั้งแต่เลือกรักษาด้วยการเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์ใช้ไข่ไก่ 10 ฟอง ทุกครั้งมีเข็มหมุดออกมา
เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2552 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า โรงพยาบาลอุตรดิตถ์รับผู้ป่วยมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจากโรงพยาบาลอำเภอท่าปลา เพื่อทำการรักษาด้วยการเอ็กซเรย์และผ่าตัดถึงกับตะลึง เมื่อพบทั้งตะปูและเข็มหมุดในลำไส้เล็กและกระเพาะอาหาร จึงเข้าตรวจสอบ
นายแพทย์เธียรชัย คฤหโยธิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลอุตรดิตถ์รับผู้ป่วยรายดังกล่าวจริง คือ พระอธิการอนุวัฒน์ วิสุทโธ อายุ 32 ปี เจ้าอาวาสวัดหาดสองแคว บ้านดงงาม หมู่ 3 ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ หลังรับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยและปลอดภัย แพทย์ยังต้องรอดูอาการจึงให้พักฟื้นอยู่ที่ชั้น 3 ตึกศัลยกรรมชาย เบื้องต้นได้รับรายงานจากโรงพยาบาลท่าปลา ส่งต่อผู้ป่วยรายดังกล่าวซึ่งมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
เมื่อมาถึงแพทย์ได้ทำการซักประวัติ อาการ จากนั้นจึงทำการเอ็กซเรย์ช่วงท้อง ปรากฏว่าพบสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายตะปู ความยาว 3 นิ้ว จำนวน 2 อัน ขวางอยู่ที่ส่วนของลำไส้เล็กส่วนต้นและที่บริเวณกระเพาะอาหารยังพบสิ่งแปลกปลอมลักษณะคล้ายเข็มหมุดอีก 1 อัน จึงเร่งส่งผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดโดยด่วน เพราะเกรงจะเป็นอันตราย ล่าสุดผู้ป่วยยังมีอาการอ่อนเพลียและเจ็บที่บริเวณแผลที่ผ่าตัด แพทย์จึงไม่อนุญาตให้กลับวัด เพราะจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ไปสักระยะหนึ่ง
พระอธิการอนุวัฒน์ กล่าวว่า เริ่มต้นมีอาการปวดท้องอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่ปี 2547 ได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาระยะแรกแพทย์ระบุว่าเป็นนิ่ว จึงทำการรักษาโรคนิ่ว แต่อาการปวดท้องก็ไม่หายหรือดีขึ้น ในที่สุดแพทย์ที่โรงพยาบาลท่าปลาจึงทำการเอ็กซเรย์ครั้งแรกพบเข็มหมุด จำนวน 1 อันอยู่บริเวณช่องท้อง แต่แพทย์ที่ทำการเอ็กซเรย์ไม่มั่นใจและเชื่อว่าน่าจะเป็นเศษไม้หรือเส้นผมที่ติดร่างกายขณะทำการเอ็กซเรย์ ส่วนอาการปวดท้องน่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร จึงจัดยาให้กิน
จากนั้นด้วยความเชื่ออาตมาจึงเดินทางไปทำการรักษาด้วยหมอทางไสยศาสตร์ที่ จ.แพร่ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ใช้ไข่ไก่ 10 ฟองในการทำพิธีปรากฏว่ามีเข็มหมุดหลุดออกมาอยู่ในไข่ไก่ 1 อัน จึงกลับมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด ต่อมาปี 2551 อาการปวดท้องกำเริบขึ้นอีก ยังคงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลท่าปลาตามปกติ ผลการเอ็กซเรย์พบเข็มหมุด 3 อันอยู่ในช่วงท้องก็ยังคงทำการรักษาด้วยการสะเดาะเคราะห์ พบว่ามีเข็มหมุดจำนวน 3 อันอยู่ในช่องท้อง เพื่อให้เกิดความแน่ใจจึงส่งตัวให้โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ทำการเอ็กซเรย์ซ้ำ
"แต่อาตมาขอทำการรักษาด้วยวิธีการสะเดาะเคราะห์แทน ซึ่งพบว่ามีเข็มหมุด 3 อันหลุดมากับไข่ไก่ อย่างที่แพทย์เอ๊กซเรย์พบ จนล่าสุดอาการปวดท้องกำเริบขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่ 3 แพทย์โรงพยาบาลท่าปลาตัดสินใจส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ทันที ผลการเอ็กซเรย์แพทย์ระบุว่าพบตะปูและเข็มหมุดอยู่ภายใน จึงตัดสินใจรับการผ่าตัด เพราะต้องการรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่ก็ต้องตกใจหลังผ่าตัดเรียบร้อยแพทย์นำทั้งตะปู และเข็มหมุด ให้อาตมาได้ดูว่านำออกมาจากลำไส้เล็กและกระเพาะอาหาร"พระอธิการอนุวัฒน์ กล่าว
เจ้าอาวาสวัดหาดสองแคว กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าตาที่เสียชีวิตไปแล้วก็เคยเจอตะปูอยู่ในอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งไม่ทราบว่าเข้าไปอยู่ได้อย่างไร แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าถูกไสยศาสตร์หรือคุณไสยจากผู้ที่ประสงค์ร้าย แต่ส่วนตัวไม่เคยมีปัญหากับใคร จึงไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งตะปูและเข็มหมุดมาอยู่ในท้องของตนมาได้อย่างไร ซึ่งผลการเอ็กซเรย์พบถึง 3 ครั้ง
นายแพทย์ธิติ ภมรศิลปะธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมและการผ่าตัดโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ กล่าวว่า เคยผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การผ่าตัดเพื่อนำเอาตะปูและเข็มหมุดออกจากอวัยวะภายในของคนนั้นนับเป็นครั้งแรกในชีวิต ใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมงในการผ่าตัด หลังผลเอ็กซเรย์พบว่าตะปู 2 ตัวอยู่ในลำไส้เล็กส่วนต้น และเข็มหมุดอยู่ที่กระเพาะอาหาร หากเป็นการกลืนลงไปลักษณะเหมือนกลืนอาหารทั่วไป น่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 วันในการลำเลียงสิ่งแปลกปลอมที่ไม่อาจย่อยได้เข้าสู่ร่างกาย จนปรากฏในส่วนดังกล่าวของร่างกาย สาเหตุที่ทั้งปลายแหลมของตะปูและเข็มหมุดไม่ทิ่มแทงลำไส้ เป็นเพราะอยู่ในลักษณะขนานกับลำไส้ ประกอบกับส่วนปลายแหลมหันขึ้น หมายความหากเป็นการกลืนผ่านทางช่องปาก ผู้กลืนจะหันหัวตะปูและเข็มหมุนลง
"สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เนื่องจากส่วนของตะปูได้มาอยู่ตรงส่วนคอดของลำไส้เล็ก เกิดการขวาง ประกอบการเกิดการบีบตัวของลำไส้ และกระเพาะอาหาร ตามวิทยาการทางการแพทย์แล้ว การที่สิ่งแปลกปลอมไม่ว่าจะเป็นอะไร หากพบในร่างกายคนเรา จะมีหนทางเดียวคือด้วยการกลืน ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายหากเป็นของมีคมและปลายแหลมอาจทำให้หลอดอาหาร ลำไส้ และกระเพาะอาหารเกิดบาดแผล ส่วนความเชื่อของผู้ป่วยด้วยไสยศาสตร์ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล"นายแพทย์ธิติกล่าว