การเมืองล้วนๆ หรือสมคบคิด?
โมงยามนี้ นอกจาก “นายกฯ ลุงตู่-ลุงป้อม” แล้ว บุคคลที่เรืองแสงแห่งอำนาจมากที่สุดเห็นจะเป็น “บิ๊กแดง-พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์” บุคคลแห่งสัปดาห์ (14-20 ตุลาคม 2561) ผลพวงจากการหล่นวาจาอย่างเป็นทางการของเขาสร้างแรงกระเพื่อมระดับน้องๆ สึนามิ โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวอย่างเรื่อง “ปฎิวัติ” ที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ติดต่อได้หลายวัน
ช่วงหนึ่งในถ้อยวจีของ “บิ๊กแดง” ที่บอกว่า "ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น"...ฉะนั้นแล้ว จึงน่าไปย้อนรอยประวัติศาสตร์ ตรวจสอบกันสักหน่อย ไม่ต้องย้อนไปไกลมาก เอาแค่ช่วงปี 2534 ก็พอ…
สมัยรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำทัพโดย พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ นั่นเอง ในช่วงปี 2534 มี พลเอก สุจินดา คราประยูร เป็น ผบ.ทบ.ลำดับที่ 26 ในรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ จากนั้นมาเราก็มี ผบ.ทบ.อีก 15 คน ประกอบด้วย พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี (คนที่ 27) พลเอก วิมล วงศ์วานิช (คนที่ 28) พลเอก ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ (คนที่ 29) พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร (คนที่ 30) พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (คนที่ 31) พลเอก สมทัต อัตตะนันทน์ (คนที่ 32) พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร (คนที่ 33)
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (คนที่ 34) พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน (คนที่ 35) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา (คนที่ 36) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (คนที่ 37) พลเอก อุดมเดช สีตบุตร (คนที่ 38) พลเอก ธีรชัย นาควานิช (คนที่ 39) พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท (คนที่ 40) และ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (คนที่ 41)
และตั้งแต่รัฐประหาร 2534 เป็นตันมา จนถึงปัจจุบัน 2561 คือเวลา 27 ปี ประเทศไทยเกิดรัฐประหารอีก 2 ครั้ง โดยในปี 2549 ภายใต้การนำของ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน (ผบ.ทบ.คนที่ 35) ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ ทักษิณ ชินวัตร และปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผบ.ทบ.คนที่ 37) ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หลังยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง)
>> มูลค่าของ "การปฏิวัติ (รัฐประหาร)"
โดยถ้อยแถลงของ “บิ๊กแดง” ที่บอกว่า “ปฏิวัติช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น” นั้น น่าจะหมายความถึง 2 ครั้งล่าสุด ซึ่งปฐมเหตุการก่อเกิดของรัฐประหารมาจาก “การเมือง-คนการเมือง” ที่เมื่อไปดูตัวละครตั้งแต่ปี 2549-2557 ล้วนเป็นคนหน้าเดิมกันแทบทั้งสิ้น ฝั่งหนึ่งแน่นอนว่าศูนย์รวมของอำนาจอยู่ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เหมือน “ปีศาจ” หลอกหลอนคนในแวดวงการเมืองไทยมากว่า 12 ปีแล้ว
ส่วนปมเหตุของรัฐประหารปี 2549 นั้น ทาง คมช. ได้ออก “สมุดปกขาว” ชี้แจงสาเหตุของการรัฐประหารยึดอำนาจ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ
นั่นอาจเป็น “ความจริง” แต่ยังมี “ความจริงอีกชุด” ที่แม้ไม่ต้องเอ่ย แต่ก็ทราบกันดีถึงความขัดแย้งระหว่าง “นายใหญ่” กับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งก่อนการยึดอำนาจในครั้งนั้นได้ก่อเกิดมวลชนในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มีบทบาทสูงยิ่ง พร้อมกันนั้นความเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ที่ร้อนแรง ทำให้สถานการณ์เดินไปสู่จุดที่ “บิ๊กบัง” ต้องเลือกทำรัฐประหารในครั้งนั้น
ต่อมาในปี 2557 ตัวละครเดิมอย่าง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ยังเป็นเป้าหลักในการโค่นทำลาย และแน่นอนมวลชนคนเดินถนนจาก “พันธมิตรฯ” กลายพันธุ์เป็น “กปปส.” ส่วนอีกฝั่งคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหวหนักๆ ตั้งแต่ปี 2553 ก็รุกหนักมากในปี 2557 และทำท่าจะนองเลือดกัน จึงกลายเป็นเข้าทาง “พล.อ.ประยุทธ์” ในการเข้าระงับเหตุด้วยการยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้นแล้ว ถ้าจะอนุมานว่ารัฐประหาร 2 ครั้งหลังนั้นมาจาก “การเมือง” ล้วนๆ ก็น่าจะพอเข้าใจได้ แต่ทว่าอีกฟากฝั่งของคนที่ “ถูก” รัฐประหาร ก็ไม่น่าจะเข้าใจ และให้พาลไปคิดถึงเรื่องทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory ) ที่คงไม่มีใครฟันธงได้ว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?
>> "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น เชื่อทหารใกล้ถึงวันหมดอำนาจ
>> "บิ๊กแดง" ลั่นพร้อมปกป้องสถาบัน ชี้ "คนหมิ่นเจ้า" ไม่เพี้ยนก็ไร้แผ่นดินอยู่