แม่ค้าส้มตำท้อแท้ เปิดร้านมาโดนปล้น 22 ครั้ง วันนี้คิดปิดกิจการหนี
แม่ค้าส้มตำคิดปิดร้านริมถนนสายโรจนะ หลังเปิดร้านมาครบปี โดนปล้นไป 22 ครั้ง แจ้งความก็ไม่ได้ความอะไร ภาพวงจรปิดชัดเจนแต่ก็จับมือใครดมไม่ได้ วันนี้คิดปิดร้านหนีดีกว่า
(20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนจาก น.ส.มาธวี อายุ 34 ปี เจ้าของร้านส้มตำมาธวี ริมถนนสายโรจนะ ขาออก ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่พาเข้าตรวจสอบความเสียหายภายในร้าน หลังถูกคนร้ายก่อเหตุเข้าไปลักทรัพย์ภายในร้าน ช่วงเวลาที่ปิดร้านเดินทางไปต่างจังหวัด
จากการตรวจสอบพบว่าตู้แช่เครื่องดื่มมีร่องรอยถูกงัดแงะ อีกทั้งขวดโซดาแบบแผงถูกลักขโมยออกหายไปหลายขวด ส่วนที่เคาน์เตอร์มีร่องรอยหารรื้อค้นหาทรัพย์สินด้วย เมื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น.วันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มีคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 25-30 ปี สวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขายาว พร้อมกระเป๋าเป้ เดินเข้ามาภายในร้าน
ชายคนดังกล่าวออกเดินสำรวจและรื้อค้นหาของมีค่าที่เคาน์เตอร์อย่างว่องไว แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่มีพลเมืองดีขี่จักรยานยนต์ผ่านมาเห็นรถจักรยานยนต์ของคนร้ายจอดอยู่หน้าร้านพอดี เมื่อเห็นว่ามีคนร้ายอยู่ภายในร้าน จึงได้จอดรถดู ทำให้คนร้ายตกใจและรีบเดินออกมาจากร้าน ก่อนจะขึ้นรถไปขี่หลบหนีไป
น.ส.มาธวี เจ้าของร้านส้มตำ กล่าวว่า ตนปิดร้านส้มตำเพื่อไปทำธุระต่างจังหวัด จนเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มีพลเมืองดีขี่รถผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดีและเห็นคนร้าย ก่อนจะโทรศัพท์ไปแจ้งกับตน ตนจึงรีบเปิดกล้องวงจรปิดจึงพบว่าคนร้ายเข้ามาขโมยของในร้านชัดเจน
เมื่อเสร็จธุระจึงรีบเดินทางกลับมาที่้ร้านเพื่อตรวจสอบความเสียหาย โดยพลเมืองดีเล่าให้ฟังว่าได้จอดรถดูคนร้ายอยู่สักครู่ พอคนร้ายเห็นว่ามีคนจ้องอยู่ จึงรีบออกมาจากร้าน เมื่อพลเมืองดีสอบถามไปว่าเข้าไปในร้านทำไม คนร้ายบอกว่ามาขอเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะหลบหนีไป
เจ้าของร้านส้มตำ กล่าวด้วย ตอนนี้รู้สึกท้อแท้ เพราะที่ผ่านมาร้านส้มตำก็โดนขโมยข้าวของในร้านมาหลายครั้ง เปิดร้านมาครบปี โดนขโมยไป 22 ครั้งแล้ว ครั้งแรกๆ ตนไม่ได้แจ้งความ เพราะเห็นเป็นเหตุเล็กน้อย แต่พอระยะหลังๆ เริ่มทนไม่ไหว จึงไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ก็ติดปัญหาอีกเพราะพื้นที่รับผิดอยู่คาบเกี่ยวกันระหว่าง 2 พื้นที่
จนกระทั่งมีการตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับคำแนะนำให้ติดตั้งกล้องวงจรปิด ตนจึงลงทุนติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มอีก ซึ่งล่าสุดก็บันทึกภาพหน้าตาคนร้ายได้อย่างชัดเจน แต่เรื่องก็เงียบหายไป และมาในครั้งนี้โดนอีกแล้ว ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจมาก อาจจะปิดร้านหนีและหาทำเลใหม่ ไม่อยากเสียเวลาแจ้งความที่ไม่ได้ความอะไรเลย แบบนี้ยิ่งทำให้ต้นทุนค้าขายหดหายไปหมด