เลือกตั้งสหรัฐฯ กับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของผู้หญิง

เลือกตั้งสหรัฐฯ กับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของผู้หญิง

เลือกตั้งสหรัฐฯ กับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของผู้หญิง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า ผู้หญิงมีโอกาสเข้าไปสู่สภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 100 คน ส่วนวุฒิสภามีผู้หญิงเพิ่มแล้ว 10 คน จากที่มีอยู่ในสภาอยู่แล้ว 10 คน ทำให้ปัจจุบันสหรัฐฯ มีผู้หญิงอยู่ในสภามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

สื่ออเมริกันชี้ว่า การที่ผู้หญิงได้รับเลือกมากขนาดนี้มาจากกระแส #metoo ที่บูมในสหรัฐอเมริกาติดต่อกันเป็นเวลานาน และยังแสดงให้เห็นว่าประชาชนต่อต้านพฤติกรรมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แสดงพฤติกรรมเหยียดเพศอย่างสม่ำเสมอตลอดวาระที่ผ่านมา 2 ปี

ด้าน ซูซาน บอร์โด จากมหาวิทยาลัยเคนทักกีบอกว่า “ตั้งแต่ปี 2016 คนรับรู้มากขึ้นว่าสังคมชายเป็นใหญ่ที่มีอำนาจเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งเนื่องจากเราเลือกประธานาธิบดีที่คลั่งความเป็นชายชาตรีขนาดนั้น”

>> จับตาเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์" กับวาระ 2 ปีที่เหลือ

การมีผู้หญิงเข้ามาในสภาเป็นจำนวนมาก นอกจากจะส่งเสริมให้ผู้หญิงมีตัวแทนในการออกกฎหมายอย่างเท่าเทียมแล้ว ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ยังพบด้วยว่า จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผู้หญิงออกมามากกว่าปกติถึง 2 เท่า งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลี และมหาวิทยาลัยชิคาโก ก็แสดงให้เห็นว่าสมาชิกสภาที่เป็นสตรีนำเงินงบประมาณเข้าสู่ท้องถิ่นได้มากกว่า ส.ส.ชายในปริมาณถึง 49 ล้านดอลลาร์ และที่สำคัญที่สุดการมีนักการเมืองหญิงมากในวันนี้ ทำให้สัดส่วนผู้หญิงที่จะเข้าสู่วงการการเมืองก็จะมากขึ้นในอนาคตตามไปด้วย

ทีมข่าวขอพามาดูเรื่องราวของ ส.ส.ใหม่ที่น่าติดตามกัน

อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ ส.ส.เชื้อสายลาตินคนใหม่อายุแค่ 29 ปี จากพรรคเดโมแครตคนนี้กลายเป็น ส.ส.ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมี หลังได้รับเลือกตั้งโดยกวาดคะแนนเกือบ 80% จากชาวนิวยอร์กในเขตเลือกตั้งแถบควีนส์และบรองซ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตัวเอง เอาชนะผู้ท้าชิงจากรีพับลิกันอย่าง โจ คราวลีย์ ที่ครองเก้าอี้มาตั้งแต่ปี 1999

ประวัติของเธอไม่ธรรมดา เคยเป็นทั้งสาวเสิร์ฟและครูติวหนังสือ เคยทำงานช่วย บาร์นี แซนเดอร์ ส.ส.เดโมแครตหาเสียง พอลงสมัครเองเธอก็เป็นผู้สมัคร ส.ส.ที่ออกตัวเลยว่ามีแนวคิดสังคมนิยมและพร้อมจะเป็นความหวังให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยในอเมริกา โดยชูนโยบายหลักคือการส่งเสริมประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยกเลิกองค์กรปราบปรามผู้อพยพ และสร้างโครงการรับประกันการจ้างงาน

ราชิดา ทไลบ์ พรรคเดโมแครต อายุ 42 ปี เกิดในครอบครัวชาวปาเลสไตน์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่ดีทรอยท์ ได้รับเลือกเป็น ส.ส.จากเขตการเลือกตั้งในรัฐมิชิแกนที่เคยเป็นพื้นที่ของ จอห์น คอนเยอร์ ส.ส.พรรครีพับลิกันที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ด้วยเหตุคุกคามทางเพศ นโยบายของเธอเน้นเรื่องเงินเดือนขั้นต่ำ ต่อต้านการลดสวัสดิการ และการลดหย่อนภาษีให้กลุ่มทุนใหญ่

ส่วน อิลฮาน โอมาร์ พรรคเดโมแครต อายุ 36 ปี เป็นผู้ลี้ภัยจากโซมาเลีย เคยอยู่ในค่ายอพยพที่เคนยา 4 ปีก่อนมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้เธอเคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภามลรัฐมินิโซตามาแล้ว ครั้งนี้เธอขยับขึ้นมาเป็น ส.ส.ของมินิโซตาหลังเอาชนะ เจนนิเฟอร์ ซีลินสกี ผู้ลงสมัครพรรครีพับลิกันมาได้ นโยบายหลักของโอมาร์คล้ายกัน คือส่งเสริมสวัสดิการถ้วนหน้าและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยไม่เก็บค่าเทอมจากนักศึกษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ ประชาชนมินิโซตาตัดสินใจเลือก ส.ส.ที่เป็นผู้ลี้ภัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ประกาศนโยบายกีดกันผู้ลี้ภัยอย่างชัดเจน

เดบรา ฮาแลนด์ พรรคเดโมแครต สมาชิกชนเผ่าปัวโบลแห่งลากูนา ได้รับเลือกเป็น ส.ส.จากประชาชนในเขต 1 รัฐนิวเม็กซิโก นโยบายที่เธอใช้หาเสียงคือการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยกล่าวว่า “ถ้าเราไม่มีโลก เราก็ไม่มีอะไรเลย” นอกจากนี้ยังส่งเสริมการลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนสวัสดิการสุขภาพถ้วนหน้า

ส่วน ชาริซ เดวิดส์ พรรคเดโมแครต เป็นสมาชิกของชนเผ่าโฮชัก เอาชนะผู้ลงสมัครจากรีพับลิกัน เควิน ยอเดอร์ ในเขต 3 ของรัฐแคนซัสซึ่งครอบคลุมบริเวณเมืองหลวงของรัฐ ก่อนเป็น ส.ส. เธอเป็นทนายความ นักสู้ในสังเวียน MMA ที่แข่งขันศิลปะการต่อสู้ผสมผสาน และเป็นเลสเบียน

นอกจากนี้ ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่สามารถเข้ามาสู่แวดวงการเมืองระดับชาติของสหรัฐอเมริกา อาทิ เอียนนา เพรสลีย์ ซึ่งเป็นผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกันคนแรกของรัฐแมสซาชูเซตต์ในสภาครองเกรส โจอานา เฮย์ส ที่จะกลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกันคนแรกของรัฐคอนเนกติคัตในสภาคองเกรสเช่นกัน ขณะที่ เวโรนิกา เอสโคบาร์ และ ซิลเวีย การ์เซีย ต่างเป็นสาวเชื้อสายลาตินที่ได้รับเลือกเข้าสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกของรัฐเท็กซัส

ขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีผู้หญิงได้รับเลือกเข้าไปเป็นวุฒิสมาชิกและผู้ว่าการรัฐอีกจำนวนหนึ่งด้วย ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองสหรัฐ และของโลกด้วยเช่นกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook