ศาลสั่งคุก 11 จำเลยโกง สจล. 4 ปี 6 เดือน ไปจนถึง 50 ปี ยกฟ้อง "ถวิล พึ่งมา"
ศาลมีนบุรี อ่านคำพิพากษามาราธอน 15 ชั่วโมง คดีทุจริตเงิน สจล.ร่วม 100 ล้าน สั่งจำคุก 11 จำเลย ตั้งแต่ 4 ปี 6 เดือน จนถึง 50 ปี ยกฟ้อง "ถวิล พึ่งมา"
ศาลจังหวัดมีนบุรี อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) รวม 3 สำนวน ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 11 (อัยการจังหวัดมีนบุรี) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 43 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ นายถวิล พึ่งมา อายุ 64 ปี อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กับพวกรวม 14 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และข้อหาอื่น
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน ถึง 12 พฤศจิกายน 2555 ต่อเนื่องในปี 2557 พวกจำเลยได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์เบียดบังทรัพย์ 689 ล้านบาทเศษของ สจล.ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และยังร่วมกันฟอกเงิน 303 ล้านบาทเศษ
>> ศาลอ่านพิพากษามาราธอน นาน 4 ชั่วโมงยังไม่จบ คดีทุจริต สจล.
ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษายาวนานที่สุดของศาลจังหวัดมีนบุรีที่เคยมีมา ตั้งแต่เวลา 08.00 น. วันที่ 25 ธันวาคม ไปจนถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 26 ธันวาคม โดยเนื้อหาคำพิพากษา ความหนา 572 หน้า ซึ่งใช้องค์คณะผลัดเปลี่ยนหมุนอ่านคำพิพากษาต่อเนื่อง 12 คน ขณะที่ศาลได้พักเบรกเพื่อให้จำเลย-ญาติ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานคดี ได้รับประทานอาหารช่วงเที่ยงและช่วงเย็น
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้ง 14 คนนำสืบหักล้างกันแล้ว พิพากษาให้จำคุกจำเลยรวม 11 คน ยกฟ้อง 3 คน โดยเห็นว่า
การกระทำของ นายทรงกลด จำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องฐานลักทรัพย์ของนายจ้าง, ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม กับฟอกเงิน จำคุกรวม 193 ปี 8 เดือน คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุก 145 ปี 3 เดือน โดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 10 ปี ดังนั้นเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 50 ปี โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินคืน สจล.โจทก์ร่วมที่ 1 ตามแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ รวม 80 ล้านบาท และคืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 636,795,884.80 บาท
ส่วน น.ส.อำพร อดีต ผอ.ส่วนการคลัง สจล. จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรฯ ด้วย มาตรา 4, 8 รวมจำคุกทั้งสิ้น 203 ปี ลดโทษ 1 ใน 4 คงจำคุก 152 ปี 3 เดือนโดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 10 ปี ดังนั้นเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 50 ปี โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินคืน สจล.โจทก์ร่วมที่ 1 ตามแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ รวม 80 ล้านบาท และคืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 608,675,884.80 บาท
นายพูนศักดิ์ จำเลยที่ 3 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
น.ส.จันทร์จิรา จำเลยที่ 4 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน
นางระดม มัทธุจัด จำเลยที่ 6 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 18 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 13 ปี 6 เดือน
นายจริวัฒน์ จำเลยที่ 7 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
นายสรรพสิทธิ์ อดีต ผช.อธก. จำเลยที่ 10 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 33 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 9 เดือน ให้ร่วมจำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 55,972,785.80 บาท
นายสลุต จำเลยที่ 11 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด กก.บริษัทมัทธุจัด จำเลยที่ 12 ที่รับโอนเงินจากการฉ้อฉลเข้าบัญชี ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 36 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 27 ปี โดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 3 ปีแต่ไม่เกิน 10 ปีดังนั้นเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี
นายสมพงษ์ จำเลยที่ 13 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน
และนายธวัชชัย จำเลยที่ 14 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน
ขณะที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องในส่วนนายสมบัติ จำเลยที่ 5, นายภาดา จำเลยที่ 8, นายถวิล พึ่งมา อดีต อธก.สจล. จำเลยที่ 9
โดย นายถวิล กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังนั่งฟังคำพิพากษายาวนานกว่า 15 ชั่วโมง ว่า รู้สึกโอเค ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งตนไม่ได้กระทำผิด
ส่วนจำเลยทั้ง 11 คนที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก ญาติของจำเลยรวม 8 คน ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวทันที โดยจำเลยที่ 1, 2, 3 ยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่ง นายอภิชาติ เทพหนู ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรี พิจารณาแล้วจึงเห็นควรให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งต่อไป