สิงห์-ช้าง โต้ภาษีเหล้าเดือด ปิติ แขวะปชป.เป็นลูกจ้างโรงเหล้า จุติ ควันออกหูกร้าวไม่เคยรับเงิน

สิงห์-ช้าง โต้ภาษีเหล้าเดือด ปิติ แขวะปชป.เป็นลูกจ้างโรงเหล้า จุติ ควันออกหูกร้าวไม่เคยรับเงิน

สิงห์-ช้าง โต้ภาษีเหล้าเดือด ปิติ แขวะปชป.เป็นลูกจ้างโรงเหล้า จุติ ควันออกหูกร้าวไม่เคยรับเงิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บุญรอดฯ จวกรัฐขึ้นภาษีสุราไม่เป็นธรรมเกรงใจใครหรือไม่ แนะเก็บภาษีเหล้าขาวเต็มเพดานทำให้รัฐมีรายได้กว่า 2.5หมื่นล้านบาท แขวะพรรคปชป.เป็นลูกจ้างโรงเหล้า จุติ ควันออกหูกร้าวไม่เคยรับเงินใครสักบาท ปิติ บอกขอโทษยันไม่มีนัยยะ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ไม่ได้มองถึงเรื่องการแข่งขัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 13.30 วันที่ 21 พฤษภาคม คณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มีนายนราพัฒน์ แก้วทอง ส.ส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานฯ ที่ประชุมพิจารณากรณี การขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเชิญตัวแทนจากบริษัท บุญรอดบริเวอรี่ จำกัด(มหาชน) และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และตัวแทนจากกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังมาชี้แจง

นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า หากรัฐบาลขึ้นภาษีเหล้าขาวเต็มเพดานคือ 4 บาทรัฐจะมีรายได้กว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี แต่ตอนนี้ปรับภาษีเพิ่มแค่ 10 สตางค์ และหากตรวจสต็อกเหล้าขาวคงคลังในบริษัทที่ผลิตก็เห็นว่ามียอดคงค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้ ทั้งนี้ไม่ทราบว่ารัฐบาลเก็บภาษีเหล้าขาวที่ปรับเพิ่มนี้เมื่อใด

"วันนี้บริษัทบุญรอดฯ ไม่ได้ต้องการมาลดภาษีให้ตัวเอง แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลขึ้นภาษีไม่เป็นธรรม ถือเป็นการสร้างกติกาที่ไม่เสมอภาค เปรียบเหมือนกรรมการกำหนดให้ต่อยมวยสากลแต่กลับให้อีกฝ่ายต่อยมวยไทย จึงขอเสนอว่าให้รัฐบาลขึ้นภาษีเท่ากันทุกกลุ่ม ไม่ใช่เว้นเฉพาะเหล้าขาว แต่ก็ไม่ทราบว่าที่รัฐบาลขึ้นภาษีแบบนี้เกรงใจใครหรือไม่ อีกทั้งควรปรับโครงสร้างภาษีให้โดยควรเก็บภาษีเหล้าขาวที่ 700 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอลล์บริสุทธ์ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้ทันที 50,000 ล้านบาท" นายฉัตรชัย กล่าว

ขณะที่นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการการตลาดบริษัทบุญรอดฯ กล่าวว่า ไม่อยากให้คนเขาพูดว่าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นภาษีเหล้าเพื่อเอื้อคนบางกลุ่มหรือเป็นลูกจ้างโรงเหล้าหรือให้ใครพูดว่ามีรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นเจ้าของโรงเหล้า เพราะบริษัทที่ตนไม่อยากอ้างถึงนี้มีสัดส่วนการถือหุ้นเหล้าขาวกว่าร้อยละ 70 ดังนั้นจึงทำให้เกิดการข้อสงสันว่าเหตุที่รัฐบาลไม่กล้าขึ้นภาษี เพราะเกรงใจใครบางคนหรือไม่ ทั้งนี้ยังพบว่าช่วงระหว่างที่มีการประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตแล้วพบว่าบริษัทฯ ดังกล่าวขายเหล้าได้เพิ่มขึ้น 24 %และไตรมาสแรกบริษัทที่ผลิตเหล้าขาวดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ล้านบาท

ด้านนายอวยชัย ตันทโอภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ครั้งนี้ไม่ได้ต้องการมาตอบโต้กับใคร เพราะขณะนี้บ้านเมืองก็ขัดแย้งกันอยู่แล้ว แต่กมธ.กลับมาจัดที่นั่งให้ประจันหน้าบริษัทคู่แข่งอีก ทั้งนี้ที่ผ่านมาก็มีการขึ้นภาษีเหล้าขาวมาตลอด ซึ่งเราก็ไม่ได้โวยวายอะไร เพราะรู้ว่าขึ้นภาษีต้องมีที่มาที่ไหนและคิดว่ารัฐบาลต้องคิดเยอะอยู่แล้ว แล้วถ้าให้เบียร์อยู่ที่ราคา 40 บาทเหล้าขาวอยู่ที่ 220 บาทพวกตนก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งเหล้าขาววัตถุดิบใช้ในประเทศทั้งหมด แต่หากให้ราคาไปอยู่ที่ 220 ขณะที่เหล้านอกราคาแค่ 300 กว่าบาทแบบนี้คนก็ต้องเลือกเหล้านอกมากกกว่าเหล้าขาวของไทย อย่างไรก็ตามขอให้ดูไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะเห็นข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิติ จากบริษัทบุญรอดฯ นั่งตรงข้ามนายอวยชัย ซึ่งถือเป็นการนั่งเผชิญหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด

ด้านนายเอกศักดิ์ โอเจริญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้แจงว่าเราแบ่งประเภทสุราเป็นหลายประเภท อัตราภาษีแต่ละชนิดก็แตกต่างกัน อย่างบรั่นดี วิสกี้พึ่งเข้ามา ส่วนเหล้าขาวคู่กับประเทศไทยมานาน ส่วนเบียร์พึ่งเข้ามาผลิตในประเทศไทย ตนยืนยันว่าสุราขาวมีผลิตเป็นสุราเถื่อนทั่วไป แต่เราไม่เคยเห็นผลิตเบียร์เถื่อน เพราะมีกรรมวิธีที่ยุ่งยาก ส่วนการขึ้นภาษีไม่ได้มองแค่ภาคการผลิต แต่มองผู้บริโภค ผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภค สุราขาวบริโภคโดยกลุ่มชาวไร่ ชาวนา ผู้มีรายได้น้อย คนชนบท มีสิทธิ์เลือกบริโภคสุราเถื่อนได้ ซึ่งทางกรมสรรพสามิตไม่ได้มองถึงเรื่องการแข่งขัน แต่เรามองในภาพรวม ซึ่งจริงก็ต้องขึ้นเท่ากันหมด แต่พอดีมีที่มาที่แตกต่างกันด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้กรรมาธิการอภิปราย ซึ่งนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า การที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นลูกจ้างโรงเหล้านั้นตนเห็นว่าพูดเช่นนี้ถือเป็นการกล่าวหาอย่างรุนแรงมาก เพราะพรรคตนไม่มีใครเป็นลูกจ้างโรงเหล้าและพวกเราก็ไม่เคยได้เงินซักบาทเดียว ดังนั้นจึงอยากให้ชี้แจงให้ชัดว่าการพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เพราะการพูดเช่นนี้ทางการเมืองหมายความว่าต้องการหลอกด่า ซึ่งเวทีกมธ.ไม่ใช่เวทีให้บริษัทผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาโต้ตอบโต้กัน

จากนั้นนายปิติรีบกล่าวขอโทษ และระบุว่าตนนำข้อมูลนี้มาจากหนังสือพิมพ์ หากคำพูดกล่าวพาดพิงใครก็ต้องขอโทษด้วย แต่ตนไม่ได้เล่นการเมืองจึงไม่หมายความโดยมีนัยยะทางการเมือง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังพูดจบนายปิติได้เดินมาหานายจุติ พร้อมกับกล่าวขอโทษ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook