ประธาน“หัวเว่ย” สุดคิดถึงลูกสาว ปัดเป็นสายลับ มองอนาคตในแง่ดี
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า เริ่น เจิ้งเฟย (任正非) วัย 74 ปี ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมแดนมังกร ได้พูดคุยกับสื่อเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทและปัญหาด้านความปลอดภัย ณ สำนักงานใหญ่ของหัวเว่ยในนครเซินเจิ้น
รายงานของผู้สื่อข่าวจากบีบีซีระบุว่า มีผู้สื่อข่าว 6 คน ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วยผู้สื่อข่าวจาก หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์, สำนักข่าวบลูมเบิร์ก และหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล พร้อมระบุเพิ่มเติมด้วยว่า กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน
>> โปแลนด์จับ 2 ลูกจ้าง "หัวเว่ย" สงสัยเป็นสายลับให้จีน วอน "อียู-นาโต้" คว่ำบาตร
“หัวเว่ยให้บริการลูกค้า 3 พันล้านคน จาก 170 ประเทศ ในระยะเวลา 30 ปี และมีสถิติตัวเลขด้านความปลอดภัยที่ดีมาตลอด เราไม่เคยมีปัญหาใหญ่เลย” เริ่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวจากไฟแนนเชียลไทมส์
“หัวเว่ยเป็นธุรกิจอิสระ เรายืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างลูกค้าของเราในเรื่องความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และการปกป้องความเป็นส่วนตัว เราไม่มีวันที่จะทำร้ายประเทศใดๆ หรือบุคคลใดๆ ก็ตาม”
“กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่มีกฎหมายใดในประเทศจีนที่กำหนดให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งต้องติดตั้งแบคดอร์ ไม่ว่าหัวเว่ยหรือผมต่างไม่เคยได้รับการร้องขอใดๆ จากรัฐบาลในเรื่องการให้ข้อมูล” เริ่นกล่าว พร้อมเสริมว่า เขาคิดถึงลูกสาวซึ่งก็คือนางเมิ่ง หวั่นโจว “เป็นอย่างมาก”
ปัจจุบัน นางเมิ่ง หวั่นโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย กำลังอยู่ในระหว่างการประกันตัวและต้องเผชิญหน้ากับการถูกส่งตัวในไปยังสหรัฐอเมริกาฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
>> "เมิ่ง หวั่นโจว" ทายาทหัวเว่ย ได้ประกันตัววงเงิน 250 ล้านบาท
>> แคนาดารวบตัวลูกสาวผู้ก่อตั้ง "หัวเว่ย" เตรียมส่งตัวดำเนินคดีที่สหรัฐ
สำหรับอนาคตของหัวเว่ย เริ่นกล่าวว่า ปี 2019 นี้ อาจเป็นปีที่ยากลำบาก โดยรายรับจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ตลอดทั้งปีไว้ที่ 1.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐ อ้างอิงจากรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี
เริ่นยังกล่าวด้วยว่า หัวเว่ยจะไม่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับแซดทีอี คอร์ปอเรชัน (ZTE) หากบริษัทของเขาถูกลงโทษด้วยบทลงโทษที่คล้ายกัน “เราลงทุนด้านงานการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังมาหลายปีแล้ว…สิ่งที่เกิดขึ้นกับแซดทีอีจะไม่เกิดขึ้นกับหัวเว่ย”
เขากล่าวว่า หัวเว่ยไม่ได้เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ต้องการรายงานทางการเงินที่สวยงาม “เราสามารถลดขนาดของเราได้หากหัวเว่ยไม่ได้รับการต้อนรับในบางตลาด”, “ ตราบใดที่เรายังสามารถอยู่รอดและเลี้ยงดูพนักงานของเราได้ ตราบนั้นเราก็ยังคงมีอนาคตเสมอ” เริ่นกล่าว