สภาพ "หนุมานคลุกฝุ่น" ของบิ๊กตู่-รัฐบาล คสช.

ในจังหวะท่ามกลางเสียงบ่นก่นด่าไปยังการจัดการที่ล่าช้าไม่ชัดเจนไม่ถูกจุดของรัฐบาล และ กทม.จาก ”ผู้คน” ที่ชักไม่สนุก กับสถานการณ์ ”ฝุ่นพิษ” ตลบกลบเมือง บรรยากาศขมุกขมัวราวเขตอุตสาหกรรมหนัก จนล่าสุด กทม. ประกาศปิดโรงเรียน มหาวิทยาลัยประกาศปิดการสอนชั่วคราว หลายกิจกรรมกลางแจ้งประกาศเลื่อนเพราะไม่มั่นใจ ทัวร์นักท่องเที่ยวก็เริ่มชะลอจะมาเที่ยว

ภาพทิศทางการเมืองของ ”นายกฯ ลุงตู่” และคณะ 4 รัฐมนตรี ก็ชัดเจนว่าพร้อมลงไปเป็น ”หนุมานคลุกฝุ่น” เล่นการเมืองเต็มตัวแล้ว กับภาพการประกาศลาออกของ ”อุตตม สนธิรัตน์ สุวิทย์ และกอบศักดิ์” ก่อนจะเดินหน้าทางการเมืองประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และเคาะสรุปส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. พร้อมสรุปบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อไล่เรียงตั้งแต่ ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” “อุตตม สาวนายน” “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” โดยจะมีการไปทาบทามในวันนี้ (1 ก.พ.) เพื่อสรุปทันการส่งผู้สมัคร 1-8 ก.พ. ตามคิวที่ กกต. กำหนด พร้อมถือโอกาสจัดอีเวนท์เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร 30 เขต เรียกว่าพอถอดหมวกปั๊บ 4 กุมารก็ลุยงานการเมืองเต็มตัวทันที

ขณะที่ก็น่าสนใจในภาษากายที่ ”พล.อ.ประยุทธ์” แสดงผ่านความพยายามรีแล็กซ์ผ่อนคลายภาพ ”ผู้นำทหาร” ที่ยากเข้าถึง มาเป็นภาพ ”นักการเมือง” ที่ยอมให้ประชาชนและสื่อเข้าถึงอิริยาบถเป็นกันเองกับภาพการแวะจิบกาแฟและพูดคุยกันแบบสบายๆ ในทุกเรื่อง แม้แต่ประเด็นท่าทีความรู้สึกกับการเมืองที่ยอมรับว่าต้องปรับตัวอีกแยะโดยเฉพาะต้องอดทนมากกว่านี้ และก็รู้ว่าต้องโดนขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว เมื่อตัดสินใจเข้ามาอยู่ในวงการเมืองซึ่งก็พร้อมและไม่กลัวว่าจะเปลืองตัว

ก่อน ”ส่งสัญญาณ” ค่อนข้างชัดถึงสเต็ปก้าวที่อยู่ในห้วงรอขันหมากจากพรรคพลังประชารัฐและอีกหลายพรรคที่ติดต่อทาบทาม เรียกว่าท่าทีของ ”นายกฯ ลุงตู่” ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเดินหน้าใส่เกียร์ห้าของ 4 กุมารพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นความชัดในจังหวะเดียวกัน ท่ามกลางฝุ่นที่ขมุกขมัวใจกลางเมืองกันเลยทีเดียว โดยถัดจากนี้เมื่อมีการมาทาบทามหาก ”นายกฯ ลุงตู่” ตอบ ”ตกลง” ตามทิศทางที่ประกาศไว้ว่าจะ ”ไปต่อ” ในฐานะ ”นายกฯ บัญชีรายชื่อ” เท่านั้น สิ่งที่จะติดตามมานอกจากการถูก ”คู่แข่ง” ต่างพรรคทวงถาม ”สปิริต” และ เรียกร้องถึงความ ”ได้เปรียบเสียเปรียบ” คือ การถูกจับจ้องทุกย่างก้าวในการทำหน้าที่ ”นายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาล คสช. ที่ไมว่าจะขยับไปทางไหน ทำหรือสั่งการอะไรก็ ”มีผลทางการเมือง” ทั้งสิ้น ที่ ”พล.อ.ประยุทธ์” ดูเหมือนจะทราบดี จากการที่สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายดูข้อปฏิบัติต่างๆ รวมถึงการใช้สื่อออกรายการ ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทางโทรทัศน์ทุกช่องทุกวันศุกร์

แต่ที่น่าสนใจ คือความที่ ”พล.อ.ประยุทธ์” ยังคงเป็น ”นายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาลที่ยังมี ”อำนาจเต็ม” ในการสั่งการให้คุณให้โทษกับข้าราชการ ที่แตกต่างจาก ”รัฐบาลรักษาการ” หลังการ ”ยุบสภา” ของบรรดาฝ่ายการเมือง ที่มักได้เห็นภาพ ”สุญญากาศอำนาจ” ระหว่างก่อนการเลือกตั้ง ที่หนนี้ยิ่งหมวกอีกใบของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็น ”หัวหน้า คสช.” ที่จะอยู่ไปจนถึงมีรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง

เป็น “หัวหน้า คสช.” ที่มีอำนาจสามารถสั่งการเป็นกฎหมายใช้บังคับให้คุณให้โทษได้ทันทียิ่งกว่ากฎหมายปกติ ดังได้เห็นจาก ”คำขู่” ใช้ ม.44 ไปยังข้าราชการ ต่อกรณีการแก้ไขปัญหา ”ฝุ่นพิษ” ที่ยิ่งทอดเวลาความหวาดกลัวของประชาชนออกมามากเท่าไหร่ “รัฐบาล”-”พล.อ.ประยุทธ์ และ กทม.” ยิ่ง ”อันตราย” ในการตกเป็น ”จำเลยที่ 1 และ 2” ที่ทุกฝ่ายจะพุ่งเป้าไปหา โดยเฉพาะ ”ข้อครหา” ที่กำลังดังขึ้นทุกขณะตอนนี้กับกรณี ”ฝุ่นพิษ” คือการมองเรื่องนี้เป็นปัญหาวิกฤติระดับไหน มองภาพการแก้ปัญหาถูกจุดหรือไม่

ซึ่งกรณี ”ฝุ่นพิษ” นี้ควรต้องยอมรับว่า ถือเป็น ”ภัยพิบัติสาธารณะ” ที่ผู้ที่ต้อง ”แอคชั่น” คือ ”รัฐบาล” ที่ต้องมีการประกาศใช้มาตรการอย่างเข้มงวดที่เอกชนประชาชนต้องให้ความร่วมมือ ยิ่งเมื่อ ”นายกฯ ลุงตู่” ตอนนี้ถือดาบ ”อำนาจ” ทั้งสองมือ คือ ”อำนาจนายกฯ” และ ”อำนาจหัวหน้า คสช.” ก็ยิ่งถูกคาดหวังให้มีการจัดการที่รวดเร็วเด็ดขาด ภายใต้ความเข้าใจในสภาพการณ์

น่าสนใจยิ่งว่ากรณี ”ฝุ่นพิษ” ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ทางหนึ่งถือเป็นการทำ ”ข้อสอบสำคัญ” สำหรับการ ”ไปต่อ” ทางการเมืองของ ”ว่าที่นายกฯ” และคณะ ที่เป็น ”เนื้อเดียวกัน” กับรัฐบาล คสช. ปัจจุบัน ที่หาก ”ตอบโจทย์” ทำ”ข้อสอบ” ผ่านไปได้ก็ถือว่าการ ”คลุกฝุ่น” นี้คุ้มค่า และจะเป็น ”คุณ” กับเส้นทางการเมืองที่กำลังเข้าสู่โซนเลือกตั้ง แต่หาก ”ทำไม่ได้” ทำได้ช้า หรือทำได้ไม่ดี ทั้งที่มีอำนาจเต็มแบบยกกำลังสองอยู่ในมือ ก็จะเป็น ”โทษ” กับภาพและทิศทางการเมืองในการ ”ไปต่อ” ของ ”พล.อ.ประยุทธ์” อย่างแรงเช่นกัน