ต้อม สารภาพเตียงหักหนีตายกลับบ้านเกิด
ต้อม รชนีกร ยอมเตียงหัก หนีตายกลับบ้านเกิด เผยไม่มีใครรู้ว่าชีวิตหลังแต่งงานที่ต่างแดนยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น!
จบฉากชีวิตคู่อย่างไม่ค่อยสวยงาม สำหรับอดีตนางเอกดัง ต้อม-รชนีกร พันธุ์มณี เพราะหลังจากที่เลิกรากับอดีตสามีคนที่สอง ต้อมก็กลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย โดยแทบไม่มีใครรู้ว่าชีวิตหลังแต่งงานที่ต่างแดนยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น! จนเธอต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาบ้านเกิด แต่วันนี้วันที่หัวใจเธอเข้มแข็ง นางเอกสาวจึงยอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นอุทธาหรณ์แก่สาวๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่
ต้อม เล่าเรื่องราวชีวิตรักที่ล้มเหลวในรายการ จันทร์พันดาว ว่า? '' จุดเริ่มต้นความรักเกิดขึ้นจากต้อมได้รู้จักกับคุณแม่ของอดีตสามีที่เมืองไทย เลยได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ ประมาณสามปี จนวันหนึ่งคุณแม่เขาเสีย เขาพูดกับเราว่าเขาเสียผู้หญิงที่เป็นที่รักไปคนหนึ่งแล้ว เขาไม่อยากเสียผู้หญิงที่รักไปอีกคน ก็เลยขอแต่งงาน ตอนนั้นที่ยอมแต่งก็เพราะอยากมีลูกไว้เลี้ยงดูเราในบั้นปลายชีวิต และอยากมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่อเมริกา และคลอดลูกที่นั่น ช่วงแรกชีวิตคู่ก็มีความสุขดี แต่ช่วงหลังอดีตสามีเริ่มเครียดจากงาน''
''พอกลับมาก็มาลงที่เรา เป็นอย่างนี้บ่อยๆ สภาพจิตใจก็เริ่มแย่ นอกจากนี้เขายังหวงเรามากเกินไปจนไม่มีอิสระ ไม่ยอมให้มีสังคม ไปไหนต้องมีเขาไปด้วยตลอด แล้วพอเขาไม่ให้เราทำงานเราก็ต้องขอเงินจากเขา ซึ่งเขามักจะพูดจาดูถูกในทำนองลำเลิกบุญคุณ ทั้งที่เราสามารถหาเงินได้ แต่ที่เสียสละทุกอย่างก็เพื่อมาอยู่กับเขา อดทนมาตลอดเกือบห้าปี จนวันหนึ่งถึงจุดพีคของชีวิตเมื่อเห็นลูกยืนเกาะลูกกรงในบ้านร้องไห้อยากออก ไปข้างนอก เราก็เริ่มถามตัวเองว่าเอาลูกออกจากสภาพตรงนั้นดีไหม เลยเริ่มวางแผนหนี''
''วางแผนอยู่หลายเดือน ตอนแรกจะไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิงเอเชีย แต่กลัวจะถูกแยกลูก และต้องถูกตรวจสภาพจิตใจว่าเป็นโรคจิตไหม ก็เลยตัดสินใจหนีเอง โดยการแอบแพ็คของใช้ต่างๆ ส่งกลับเมืองไทยทางไปรษณีย์ ทำวันละนิดละหน่อยเพื่อไม่ให้เขารู้ตัว เวลาออกไปข้างนอกก็จะใช้ปากกาเมจิกมาร์คตำแหน่งของล้อไว้ เพื่อเวลาขับกลับเข้ามา รถจะได้อยู่ตำแหน่งเดิม เขาจะได้ไม่รู้ตัว พอถึงวันเดินทางก็นัดแท๊กซี่มารับแล้วบินไปแอลเอ พอถึงก็โทรบอกเขาว่ามาหาญาติที่แอลเอ เพราะถ้าบอกว่าบินตรงมาเมืองไทยเขาจะแจ้งจับเราได้ฐานขโมยพลเมืองของบ้าน เมืองเขามา เราก็ภาวนาว่าอย่าให้เขาแจ้งความเลย ไม่งั้นสิ่งที่วางแผนมาหลายเดือนเป็นอันจบ แล้วเราจะไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย วินาทีที่ถึงเมืองไทยรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้อนาคตตัวเองคิดว่าถ้าไม่มีใครจ้างก็สามารถขายข้าวแกงเลี้ยงลูกได้ แค่ขอให้พ้นจากสภาพตรงนั้นได้กลับมาอยู่เมืองไทยก็พอ หลังจากนั้นเขาก็โทรมาง้อ เราก็บอกไปว่าถ้ายังรักเราและลูกให้มาอยู่เมืองไทยด้วยกัน แต่เขาไม่มามันก็เลยจบ''