หมอยาฟีเวอร์! ชาวบ้าน 17 คนลอบเข้าป่าตัด "สมุนไพร" หนักเป็นตัน อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

หมอยาฟีเวอร์! ชาวบ้าน 17 คนลอบเข้าป่าตัด "สมุนไพร" หนักเป็นตัน อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

หมอยาฟีเวอร์! ชาวบ้าน 17 คนลอบเข้าป่าตัด "สมุนไพร" หนักเป็นตัน อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.พ.2562 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ ได้สนธิกำลังออกลาดตระเวน เพื่อป้องกันการบุกรุกป่า โดยการอำนวยการของนายวุฒิกุล งามปัญญา หัวหน้าหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ พร้อมด้วยฝ่ายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า  เจ้าหน้าที่หน่วยปฎิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.สังขะ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 217 (ตชด. 217) ออกลาดตระเวนตามแนวพื้นที่ป่าไม้ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณป่าทิศใต้บ้านคะนา ต.ตาตุม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ

ขณะเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาถึงบริเวณดังกล่าว ตรวจพบกลุ่มชาวบ้านจำนวน 17 คน เป็นชาย 13 คน หญิง 4 คน ต่างทยอยแบกถุงกระสอบปุ๋ยเดินออกจากป่า ลักษณะเดินมาทีละคน เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งสัญญาณให้หยุด และเข้าตรวจสอบพบข้างในถุงกระสอบปุ๋ยเป็นไม้พฤกษชาติ จำพวกต้นม้ากระทืบโรงและต้นกำแพง 7 ชั้น จากการสอบสวนทราบว่าเป็นชาวบ้านกะเลงเวก ต.เทพรักษา อ.สังขะ จำนวน 14 ราย และเป็นชาว ต.ตาตุม อ.สังขะ อีก 3 ราย เจ้าหน้าที่สอบถามทราบว่า ทั้งหมดได้ชักชวนกัน เดินทางเข้าป่าเพื่อหาตัดต้นไม้ จำพวกต้นมากะทืบโรงและต้นกำแพง 7 ชั้นนี้เพื่อไปทำเป็นยาสมุนไพรไว้รับประทาน และแบ่งให้ญาติพี่น้องได้ต้มหรือดองเหล้าไว้ดื่มกินเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นการผิดกฎหมาย

สำหรับการเข้าตรวจยึดจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการลักลอบเข้ามาตัดไม้ในเขตป่าหวงห้ามมีอย่างต่อเนื่อง และเจ้าหน้าที่ได้เพิ่มมาตรการป้องกันและปรามปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้ กำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนจึงลงพื้นที่สำรวจตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากพบการกระทำผิดจะควบคุมตัวดำเนินการตามกฎหมายทันที เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาคดีลักลอบร่วมกันทำลายไม้พฤกษชาติในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ส่งร้อยเวรสอบสวน สภ.ดม อ.สังขะ พร้อมด้วยของกลางเป็นไม้พฤกษชาติ ต้นม้ากระทืบโรงและกำแพง 7 ชั้น จำนวน 1,505 กิโลกรัม และรถจักรยายนต์อีก 17 คัน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมด ส่งดำเนินคดี ตามกฎหมาย และหากประกันตัวออกจากสถานีตำรวจภูธร สภ.ดม ชาวบ้านต้องใช้หลักทรัพย์ คนละ 1 แสน ในการประกันตัว แต่ว่าชาวบ้านยังหาเงินมาประกันตัวไม่ได้ จึงต้องนอนห้องขัง ตามกฎหมายต่อไป

 ญาติผู้ต้องหามานั่งรอหน้าโรงพัก

ล่าสุด วันนี้ (วันที่ 26 ก.พ. 62) เวลา 14.00 น.ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ ลงพื้นที่ไปยัง สภ.ดม ต.เทพรักษา อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว พบบรรดาครอบครัว ญาติพี่น้องของชาวบ้านทั้ง 17 รายที่ถูกดำเนินคดี มารอให้กำลังใจอยู่ที่บริเวณบันได้ทางขึ้น สภ.ดมกว่า 50 คน ซึ่งทั้งหมดพากันมานอนรอสมาชิกในครอบครัวตนเองที่ถูกจับมา 2 คืนแล้ว เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์และเงินประกันตัว ซึ่งต้องใช้เงินหรือหลักทรัพย์ประกันตัวคนละ 7 หมื่นบาท บางคนต้องไปขอร้องให้ญาติที่มีตำแหน่งทางราชการที่สามารถค้ำประกันได้ มาประกันตัวออกไปแล้ว 6 คน เหลือชาวบ้านที่ถูกจับกุมอีก 11 คนที่ยังหาหลักทรัพย์ไม่ได้

ขณะที่ พ.ต.ท.ทรงศักด์ แก้วแฉล้ม รอง ผกก.สส.รักษาราชการแทน ผกก.สภ.ดม เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้โอกาสครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้ถูกจับกุมที่เหลือ  11 คน หาหลักทรัพย์ต่างๆมาประกันตัว จนถึงเวลา 16.00 น.ของวันนี้  หลังจากนั้นหากไม่มีหลักทรัพย์มาประกันตัว ก็จะนำส่งศาลเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามรอเวลาให้ชาวบ้านได้ประกันตัวให้มากที่สุด โดย  เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้ดำเนินการไปตามกรอบกฎหมาย เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ  ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ เป็นผู้จับกุมและส่งต่อมาให้ จนท.ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย

นางเบ็ญ อายุ 53 ปี ภรรยาของ 1 ในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม คือนายเสริม อายุ 60 ปี กล่าวว่า ตนเองมานอนรอสามี มา 2 คืนแล้ว ไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์ประกันตัว ตอนนี้ก็จนปัญญา คงต้องรอให้ส่งตัวไปศาลให้พิจารณา โดยเล่าว่าชาวบ้านเข้าไปตัดสมุนไพรกัน เพราะมีคนมาติดต่อให้ชาวบ้านไปตัดแล้วเอามาสับตากให้แห้ง จะรับซื้อกิโลกรัมละ 6 บาท แต่ไม่ทันได้ขายก็ถูกจับกุมก่อน ซึ่งชาวบ้านไม่มีใครรู้ว่า สมุนไพรดังกล่าวนั้นเมื่อตัดมาแล้วจะมีความผิด หากรู้ก็คงไม่ทำกัน ชาวบ้านในพื้นที่อาศัยป่าในการหาเห็ดหาผักป่ามาประทังชีวิตอยู่แล้ว ไม่ได้มีเงินทองร่ำรวยอะไร ที่ดินก็ไม่มี หาเช้ากินค่ำ แล้วต้องมาถูกจับกุมด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม ก็อยากให้ศาลท่านเห็นใจชาวบ้านด้วย เพราะเมื่อหัวหน้าครอบครัวถูกจับ ก็ไม่มีใครหาเลี้ยงครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ลูกหลานที่จะต้องไปโรงเรียน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook