“เอ๋ ไพโรจน์” สงสารลูก ถูกมองแย่งสมบัติพ่อ พร้อมเคลียร์เปลี่ยนบ้าน เป็นสถานปฏิบัติธรรม

“เอ๋ ไพโรจน์” สงสารลูก ถูกมองแย่งสมบัติพ่อ พร้อมเคลียร์เปลี่ยนบ้าน เป็นสถานปฏิบัติธรรม

“เอ๋ ไพโรจน์” สงสารลูก ถูกมองแย่งสมบัติพ่อ พร้อมเคลียร์เปลี่ยนบ้าน เป็นสถานปฏิบัติธรรม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สืบเนื่องจากกรณีดราม่าภายในครอบครัว ที่หลายคนมองว่าเป็นการแย่งสมบัติระหว่างพ่อและลูกชาย ของนักแสดงรุ่นใหญ่ เอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียล

ล่าสุดทางด้านของ เอ๋ ไพโรจน์ ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงกระแสข่าวดังกล่าวในงานเปิด ESC STUDIO ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า เรื่องนี้ได้พูดคุยและจบกันไปนานแล้ว อีกทั้งตนก็ไม่อยากให้สังคมมองลูกในทิศทางที่เสียหาย หรือมองเขาไม่ดี ส่วนเรื่องที่จะเปลี่ยนบ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรมนั้น ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ความคิดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ถามถึงที่ลูกออกมาโพสต์ว่าโดนตัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ?
“เรื่องผ่านมาและจบไปแล้ว จากวันนั้นมาชี้แจงเขาไปก็จบ”

เห็นว่าเขาฟ้องศาลด้วยใช่ไหม ?
“เขาฟ้องก่อนที่จะเกิดเรื่องตรงนั้นอยู่แล้ว คำว่าฟ้องศาล คือเขาไปฟ้องศาลปกครอง หมายถึงเขาแคลงใจว่าส่วนราชการทำถูกระเบียบไหม ที่ชื่อเขาออกไปจากทะเบียนบ้าน เป็นความแคลงใจของเขา พูดง่ายๆ เหมือนไปถามว่าทำไมเอาออกมาได้ แต่ในทางกฎหมายแล้ว คำว่าเจ้าของบ้าน กับเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านเป็นคนละเรื่องกัน ตรงนี้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน เพราะเขาฟ้องตั้งแต่ก่อนมีข่าวแล้ว”

หลังจากฟ้องศาลแล้วเป็นยังไงบ้าง ?
“ไม่รู้เลย เพราะที่ฟ้องร้องคือ ฟ้องศาลปกครอง ไม่ได้ฟ้องผม เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น เขาแค่ถามว่า ทำไมย้ายเขาออกไปอย่างนั้น ขอให้เขากลับมาได้ไหม”

มีคนจับผิดว่าเราเป็นคนเซ็นให้เขาย้าย ?
“แน่นอน เราเป็นเจ้าของบ้าน จะเอาตัวเราเองไปเป็นเจ้าบ้าน จริงๆ แล้วโดยหลักการเขาจะต้องย้ายเข้าทะเบียนบ้านกลาง เราก็ไม่ได้ทำขนาดนั้นนะ แค่เข้าไปเป็นเจ้าบ้าน แล้วให้เขาเป็นลูกบ้าน ไม่ได้ดึงชื่อออก”

ปัญหาจริงๆ คืออะไร ?
“เขาอยากเป็นเจ้าบ้าน (หัวเราะ)”

คนมองว่าพ่อลูกแย่งสมบัติกัน ?
“อย่าพูดแบบนั้น เพราะทำให้ลูกเสียหาย ในสังคมไทยไม่มีใครเห็นด้วยหรอกที่ลูกจะมาอยากได้สมบัติของพ่อแม่ ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นอย่าพูดแบบนั้นสงสารลูก คนจะเข้าใจผิด เราก็ไม่รู้อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศเลยทำให้เขาโพสต์ออกไปแบบนั้น”

คนมองลูกอกตัญญูฟ้องพ่อ เรามองยังไง ?
“คนแค่เข้าใจผิดใหญ่โตกันไปเอง เราก็แค่ชี้แจงให้เขาฟัง พอชี้แจงไปก็จบ”

ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ได้คุยกับลูกไหม ?
“ไม่ได้คุย คือเขาอยู่กับแม่ของเขาอยู่แล้ว เราก็อยู่ของเรา มีเรื่องทำมาหากินของเราไป ปกติก็ไม่ได้ติดต่อกัน นานๆ ถึงจะติดต่อที ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลูกคนอื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีอะไรผิดแปลก”

คิดว่าปัญหานี้จะจบยังไง ?
“ไม่รู้สิ เรื่องของเรื่อง เราเป็นเจ้าของบ้าน อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ปี 2532 ผ่านมา 30 ปีแล้วที่เราเป็นเจ้าของอยู่ตรงนั้น จริงๆ ไม่ได้เป็นแบบถาวร เพราะยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ แค่นั้นเอง”

ก่อนหน้านี้มีชื่อใครเป็นเจ้าของบ้าน ?
“คนที่มีชื่อในเอกสารสิทธิ์ก็เป็นเจ้าของบ้านเท่านั้นเอง”

จริงๆ ถ้าจะให้เขากลับมาอยู่ในทะเบียนบ้านได้ อาโอเคไหม ?
“ก็ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ นี่ไงถึงได้บอกว่ามันสับสนกันไปเอง ไปถามอะไรกันเกินกว่าเหตุ เราไม่ได้ย้ายเขาถึงขนาดออกไป ย้ายเขาจากเจ้าบ้าน ตัวเขาเองเคยเป็นเจ้าบ้านแล้วเอาเขามาเป็นลูกบ้านเท่านั้นเอง”

ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเข้าไป ?
“อ้าว...ทำไมต้องบอกล่ะ”

ปัญหาคือลูกอยากมีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน ?
“จริงๆ แล้วน้องพีทเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย เป็นเรื่องระหว่างคุณแม่เขา คือแต่เดิมเนี่ยเมื่อก่อนแต่งงานอยู่ด้วยกัน เราเป็นเจ้าบ้านอยู่ทางกรุงเทพฯ สร้างบ้านกี่หลังเราก็ต้องเอาคนอื่นไปใส่ชื่อไว้ เพราะโดยกฎหมายแต่ละบ้านต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเกิดการซ่องสุม ผู้ร้ายไปอยู่ ไปค้ายาเสพติด มันต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นต้องมีชื่อ คนทั่วไปเขาจะเข้าใจกฎหมายว่าคนเป็นเจ้าของบ้านกับคนที่เป็นเจ้าบ้านมันคนละเรื่องกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาคงไม่พอใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกชายเขาอยู่ด้วย แม่เขาก็คงไปบ่น เท่านั้นเอง ก็อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเลย สงสารลูกเขา เพราะว่าเขาเข้าใจผิดก็ชี้แจงเขาไป ตั้งแต่วันนั้นพอมีข่าวมาก็ชี้แจงไปมันก็จบแล้ว ก็อย่าไปรื้อฟื้นอะไร”

พอเกิดเรื่องขึ้นความสัมพันธ์ของพ่อลูกมันห่างเหินกันไหม ?
“ก็เหมือนเดิมแหละ ไม่เห็นมีอะไร ก็อย่าพยายามให้พ่อลูกเขาแตกกันแล้วกันนะ (หัวเราะ) ไม่มีอะไรก็เหมือนเดิม เขามีธุระอะไรโทรมาเราก็คุยกับเขาเหมือนเดิม แต่ว่าสภาพมันเป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว ลูก 3 คนก็เป็นแบบนี้ ต่างคนต่างอยู่กันไป เขาโตกันหมดแล้ว ถ้ามันมีอะไรที่ต้องเกี่ยวพันกัน เขาก็ติดต่อกันไปมา ก็คุยกันแค่นั้นเอง แต่ถ้าเขาไม่ได้ติดต่อมา ก็ไม่มีอะไร อย่าไปซีเรียสอะไร เป็นความเข้าใจผิดกัน”

ตอนนี้อาก็ยังเป็นเจ้าบ้านที่กาญจนบุรี ?
“เป็นสิ แต่เขาไม่ได้อยู่บ้านนั้นตั้งแต่เลิกกัน ตั้งแต่ก่อนเลิกกันเขาก็ไม่เคยอยู่ แต่เขาก็ไปบอกว่าอยู่มาตลอด ซึ่งมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

ตอนนี้บ้านก็จะทำเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วย ?
“ยังไม่ได้เปลี่ยน เป็นดำริว่าถ้าต่อไปเนี่ยอยากจะทำให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม เพราะแฟนใหม่เขาจะไปแนวนี้ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็ไปบวชชีมาเดือนหนึ่ง เมื่อ 3 เดือนก็ไปเข้าคอร์สมา คือเขามีใจทางด้านเกี่ยวกับสมาธิ และเขารู้ว่าอันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคน เคยมาเอ่ยปากขอว่าถ้าต่อไปมันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ จะทำสถานปฏิบัติธรรมได้ไหม ผมก็ยินดี เพราะถ้าทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจของคนทั่วๆ ไป ก็ไม่มีอะไรที่จะขัดข้องแค่นั้นเอง ยังไม่ได้เป็น”

>>“ไพโรจน์” เปิดใจ ห้ามเมียเก่าเข้าบ้าน ศาลชี้ขาดแบ่งสมบัติชัด ลูกครวญถูกขู่แจ้งจับ (คลิป)

>>"ไพโรจน์ สังวริบุตร" ออกโรงเปิดใจ หลังลูกชายแฉคัดชื่อแม่พ้นทะเบียนบ้าน

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ “เอ๋ ไพโรจน์” สงสารลูก ถูกมองแย่งสมบัติพ่อ พร้อมเคลียร์เปลี่ยนบ้าน เป็นสถานปฏิบัติธรรม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook