ตามหาความจริงปม "เด็กคลอดตาย" พ่อแม่เด็กกับโรงพยาบาลพูดไม่ตรงกัน
![ตามหาความจริงปม "เด็กคลอดตาย" พ่อแม่เด็กกับโรงพยาบาลพูดไม่ตรงกัน](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1541/7706486/asvdaad.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
(10 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. นพ.สุรินทร์ สืบซึ้ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางมาที่ โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบรายละเอียดกับเหตุการณ์ที่ นายบัวขาว อายุ 47 ปี และนางจันจิรา อายุ 25 ปี สองสามีภรรยา ที่เดินทางมาคลอดบุตรที่ แล้วบุตรแรกคลอดเกิดเสียชีวิต เนื่องจากขณะคลอดออกมาเด็กหัวไหล่ติดบริเวณช่องคลอดไม่สามารถออกได้จนเสียชีวิต โดยมีสื่อมวลชนจำนวนมากเดินทางมาคอยติดตามข่าว
นพ.สุรินทร์ สืบซึ้ง สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า ตนเองได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขโดยท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้ามาดูเพื่อตรวจสอบหาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยตนเองจะเป็นกลางให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพยาบาลและฝ่ายคนไข้หรือผู้เสียหาย ซึ่งตอนนี้ได้รับข้อมูลมา 2 ด้าน คือจากการเสนอข่าวของสื่อมวลชน และได้รับรายงานจากทาง ผอ.รพ.ประชาธิปัตย์ ที่รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนำเอาข้อมูลทั้งสองฝ่ายมาประกอบกัน มีบางเรื่องที่ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน ซึ่งตนเองจะตั้งคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร
โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีการทำงานเป็นระบบ โดยที่เจ้าหน้าที่ผู้ทำคลอดมีการประสานงานร่วมกับรพ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นแม่ข่าย เมื่อมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลประชาธิปัตย์จะมีระบบไลน์ในการปรึกษาหารือกัน ซึ่งเคสนี้ก็พบว่ามีการปรึกษาหารือกันเป็นระยะๆ ตั้งแต่ต้นทางไลน์ กระบวนการดูแลของคนไข้รอคลอดคือการดูแลการก้าวหน้าของการคลอดโดยเคสนี้มีการก้าวหน้าของการคลอด หากไม่มีการก้าวหน้า เช่น การคลอดมีการติดขัดหรือมดลูกเปิดน้อยกว่าปกติ ซึ่งหากมีลักษณะแบบนี้จะต้องส่งตัวผู้ที่เข้ารับการคลอดไปที่ รพ.แม่ข่าย คือ รพ.ปทุมธานี เพื่อทำการผ่าคลอด
>> พ่อเล่าเหตุการณ์สุดอึ้ง อ้างพยาบาลทำลูกตาย เด็กออกมาครึ่งตัว-สิ้นใจคาช่องคลอด
แต่บังเอิญจากข้อมูลการดำเนินการคลอดเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ซึ่งจะสามารถให้คลอดที่ รพ.ประชาธิปัตย์ ได้ แต่พอคลอดออกมาแล้วหัวเด็กนั้นมีหัวไหล่ติดอยู่ที่ช่องคลอด จุดดังกล่าวนี้ทำไมไม่มีการทราบล่วงหน้า ซึ่งตนเองมีการสอบถามข้อมูลทางผู้เชียวชาญพบว่า ภาวะการคลอดที่ติดหัวไหล่นั้นเป็นภาวะที่จะคาดการล่วงหน้าได้ยาก เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อติดแล้วต้องรีบแก้ไขโดยต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวชหรือหมอทำคลอดเท่านั้นซึ่ง รพ.ประชาธิปัตย์นั้นไม่มีแพทย์เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ซึ่งเป็นเช่นนี้หลายๆ รพ.ของประเทศไทย จึงพอติดขัดแล้วนั้นได้ทำการส่งตัวไปที่ รพ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นแม่ข่าย โดยมีการประสานงานกันโดยมีการวิดีโอคอลกัน การจากตรวจสอบพบว่าใช้เวลาการส่งตัวไม่นาน ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องหาแนวทางการแก้ไขว่าจะต้องทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกโดยข้อมูลเบื้องต้นตนเองได้แจ้งเรื่องไป ผู้ตรวจราชการสาธารณสุขเขต 4 ไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษานั้นพบว่าออกซิเจนหมดนั้น ตนเองได้ตรวจสอบกับพยาบาลแล้วพบว่า คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาในการเปลี่ยนถังออกซิเจน แต่ก็จะต้องมีคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริงลงมาตรวจสอบและในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาแจ้งว่าในวันเกิดเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ต้องไปตามแพทย์มาทำการช่วยเหลือนั้น จากการตรวจสอบยืนยันได้ว่าในวันเกิดเหตุแพทย์อยู่ภายในอาคารโรงพยาบาลไม่ได้อยู่ด้านนอกหรือห้องพักแต่อย่างใดโดยดูแลผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ กรณีสินน้ำใจที่ทางแพทย์และพยาบาลมอบให้ผู้เข้ารับการรักษาจำนวน 10,000 บาท นั้นตนเองจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าทำไมจะต้องทำแบบนั้น จริงๆ แล้วในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีการเยียวยาความเสียหายทางการแพทย์อยู่แล้วคือมาตรา 41 ซึ่งในวันพุธที่จะถึงนี้ตนเองจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นเข้าที่ประชุมของคณะกรรมการในการเยียวยา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมการอัลตราซาวด์ก่อนการทำคลอด มีการคำนวณน้ำหนักตัวเด็กที่ผิดพลาดซึ่งหลังคลอดนั้นน้ำหนักตัวมีถึง 3,800 กรัม แต่ทางรพ.มีการแจ้งว่าน้ำหนักตัวมี 2,800 ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงตั้งคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงให้ความเป็นธรรม2ฝ่าย จากสถิติพบว่ามีเหมือนกันเด็กคลอดไหล่ติดเสียชีวิตกรัม ซึ่งต่างกันถึง 1,000 กรัมหรือ 1 กิโลกรัม อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่สามารถคลอดออกมาได้นั้น นพ.สุรินทร์ สืบซึ้ง สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า การอัลตราซาวด์ความชำนาญของแพทย์จะต้องตรวจสอบว่าทำไมการประมาณการณ์ถึงแตกต่างจากความเป็นจริง แต่คิดว่าไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เด็กเสียชีวิต