เลือกตั้ง 2562: กู้ศรัทธา “ประชาธิปัตย์” ฤๅ “นายหัวชวน” จะกลับมาผงาดอีกครั้ง
หลังจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลังผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในคืนวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งไม่ถึง 100 ที่นั่งตามที่อภิสิทธิ์ประกาศก่อนการเลือกตั้ง
โดยกระบวนการต่อจากนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมพรรคเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลการรับรอง ส.ส. 95% ภายในวันที่ 9 พ.ค. 62 ไปแล้ว เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคกำหนดแนวทางในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ และกำหนดท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่อย่างไร
สำหรับการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ จากเดิมคาดการณ์กันว่าจะมีแคนดิเดตจำนวน 4 คน คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ที่ปัจจุบันทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค กรณ์ จาติกวณิช รักษาการรองหัวหน้าพรรค อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์
ภายหลังมีรายงานว่า ขณะนี้เหลือผู้ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแค่ 2 คนเท่านั้น คือ “จุรินทร์” และ “กรณ์” โดยรายอื่นๆ ขอถอนตัวไป
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเจอสถานการณ์ที่กระแสนิยมของพรรคตกต่ำลงมาก มีอดีต ส.ส.เก่าหลุดจากเก้าอี้ไปหลายคน ประกอบกับในกลุ่มสมาชิกรุ่นใหม่กับกลุ่มสมาชิกรุ่นเก่า มีความขัดแย้งในเรื่องท่าทีทางการเมืองกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมรัฐบาลหรือจะออกมายืนเป็นฝ่ายค้าน ทำให้ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกหัวหน้าพรรคในครั้งนี้มาก และจากการประเมิน 2 แคนดิเดตไม่ว่าจะ จุรินทร์หรือกรณ์ แม้ว่าได้รับแรงสนับสนุนจากซีกสมาชิกใกล้เคียงกัน แต่หากคนใดคนหนึ่งขึ้นมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องการยอมรับจากอีกซีกหนึ่ง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับพรรคในระยะยาวที่ต้องการสร้างศรัทธาคืนจากประชาชน
ประกอบกับจากการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ทางประชาธิปัตย์คาดว่า รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นแกนนำรัฐบาล ไม่น่าจะมีเสถียรภาพมากนัก อายุรัฐบาลคงนานไม่เกิน 1 ปีก็อาจจะต้องมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องหาหัวหน้าพรรคที่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกในพรรค มีบารมีที่คนในพรรคยอมรับ ไม่ทำให้เกิดกระแสขัดแย้งในพรรคต่อไป และสามารถนำพรรคเรียกศรัทธาจากประชาชนคืนมาโดยเร็วที่สุดสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า
ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะเสนอ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรคและอดีตหัวหน้าพรรค ให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมีการผลักดันให้ “นายหัวชวน” กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อการจัดตั้งรัฐบาลนั้น ประเมินกันว่ามีโอกาสสูงที่ประชาธิปัตย์จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับ พลังประชารัฐ และจะไม่ร่วมหนุนให้ทางซีกเพื่อไทยชิงจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
เพราะ “นายหัวชวน” ค่อนข้างจะมีสไตล์การทำงานที่ยึดมั่นการต่อสู้ภายใต้พรรคประชาธิปัตย์อย่างเข้มข้น และเขายังเป็นนักต่อสู้กับการทุจริตทางการเมืองมาโดยตลอด ดังนั้นการเลือกเป็น “ฝ่ายค้าน” จึงน่าจะเป็นทางที่ “ชวน” เลือกจะเดิน และนำพาพรรคประชาธิปัตย์ไปในเส้นทางนี้ หากเขากลับเข้ามากุมบังเหียนประชาธิปัตย์ให้ท่องทะเลการเมืองอีกคำรบ
อีกทั้งการเลือกข้างว่าจะเข้าไปฝั่ง “พลังประชารัฐ” ก็อาจไม่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมา “ชวน” กับ “อภิสิทธิ์” ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการประกาศจาก “มาร์ค” ที่ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ เพื่อหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเด็ดขาด แน่นอนว่าหากนายหัวชวนกลับเข้ามา คงไม่เลือกทาง “หัก” กับอดีตลูกหม้อที่ปลุกปั้นมากับมืออย่าง “อภิสิทธิ์” แน่ๆ
ส่วนเพื่อไทยก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะร่วมงานกันในฐานะ “ฝ่ายรัฐบาล” ได้ เพราะประวัติศาสตร์ของทั้งสองพรรค ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอดบนถนนการเมือง ลองนึกภาพ “ชวน” พา "ประชาธิปัตย์" ไปสวมกอดกับ “เพื่อไทย” หากเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าคนประชาธิปัตย์ทั้งบางจะไม่เผาผี “ชวน หลีกภัย” เป็นแน่แท้
ท้ายที่สุดไม่ว่า “ประชาธิปัตย์” จะเลือกเดินทางไหน และลงคะแนนเสียงว่าใครเหมาะสมจะมากุมบังเหียนบังคับทิศทางประชาธิปัตย์ในอนาคตการเมืองข้างหน้า ก็น่าสนใจและติดตามว่า “ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย จะมีก้าวย่างอย่างไรในอนาคต