บิ๊กโจ๊กคือใคร ไฉนจากนายตำรวจอนาคตไกล กลับเจอเด้งเข้ากรุแบบสายฟ้าแลบ
หลังจากลือกันทั่วเมืองตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า "บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล" ถูกสั่งย้ายฟ้าผ่าจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) พร้อมกับการหายไปของบัญชีในโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม
>> ลือสะพัด! เด้งฟ้าผ่า "บิ๊กโจ๊ก" เข้ากรุ เพจเฟซบุ๊กปลิวตั้งแต่เมื่อวาน
จนเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้เห็นเอกสารคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ "บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" ผบ.ตร. ลงนามสั่งย้าย บิ๊กโจ๊ก จากตำแหน่ง ผบช.สตม. ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เป็นอันยืนยันชัดเจนจากข่าวลือกลายเป็นข่าวจริง!
>> คอนเฟิร์มชัด! เปิดคำสั่งเด้งฟ้าผ่า "บิ๊กโจ๊ก" เข้ากรุ หลังลือสะพัดข้ามคืน
จะว่าไปแล้วเส้นทางรับราชการในแวดวงสีกากีของ เดอะโจ๊ก ถือว่าไม่ธรรมดาและน่าจับตาไม่น้อย เพราะนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 47 (นรต.47) ผู้นี้ได้ชื่อว่าติดยศเป็นนายพลอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยทีเดียว (สถิตินี้ไม่นับเมื่อครั้งยังเป็นกรมตำรวจ)
จากพื้นเพที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นคนสงขลา เกิดในครอบครัวของตำรวจชั้นประทวนซึ่งทำหน้าที่ดูแลใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตนายตำรวจคนดังผู้เป็นบิดาของทั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ (อดีต ผบ.ตร.) และนางพจมาน ณ ป้อมเพชร (อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร) แต่ใครจะคาดคิดว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล จะก้าวหน้าในชีวิตราชการภายใต้ยุค คสช. เรืองอำนาจ
หลังจากเป็นผู้กำกับการ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ติดยศ พ.ต.อ.ตั้งแต่ 20 พ.ย. 2551 อยู่ 4 ปีกว่า ก็ได้ขยับมาเป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และเมื่อได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลพื้นที่ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้รับสิทธิการนับอายุราชการแบบทวีคูณ ส่งผลให้สามารถติดยศ พล.ต.ต. เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2558 ในวัยยังไม่ครบ 45 ปี ในตำแหน่งผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไม่น้อยในเวลานั้น
ก่อนจะขยับมาเป็น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ในวาระแต่งตั้งประจำปี 2558 แล้วในวาระโยกย้ายประจำปี 2559 สไลด์ไปเป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือผู้การ 191 ด้วยผลงานปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ เมื่อถึงวาระแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2560 ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนไปเป็นรองผู้บัญชาการถึง 2 กองบัญชาการ คือ ครั้งแรกที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ก่อนที่ในการประชุม ก.ตร.ในอีกสัปดาห์ต่อมา มีมติให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกองบัญชาการที่เพิ่งได้รับการยกระดับขึ้นมาจากกองบังคับการ
และเมื่อโยกย้ายประจำปี 2561 จากรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) ซึ่งสร้างผลงานมากมายทั้งจากหน้างานรับผิดชอบปกติและงานในหน้าที่ของศูนย์เฉพาะกิจต่างๆ ที่บิ๊กโจ๊กได้รับมอบหมาย ทำให้ได้รับเสนอชื่อเลื่อนขึ้นมาติดยศ พล.ต.ท. เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ซึ่งถือเป็นกองบัญชาการเกรดเอแห่งหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยทีเดียว
จนสื่อมวลชนจำนวนมากในสายอาชญากรรม การเมือง และความมั่นคง เชื่อกันว่าเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ของเดอะโจ๊ก ไม่น่าจะหนีหายไปไหนได้ เพราะด้วยความที่เจ้าตัวเกิดในวันที่ 29 ต.ค. 2513 จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. 2574 (เกิดหลัง 30 ก.ย. จะทบเวลาราชการให้อีกหนึ่งปีจากปกติเกษียณด้วยอายุ 60 เป็น 61) หรืออีก 13 ปี มีเวลาเหลือเฟือที่จะได้เป็นเบอร์หนึ่งแห่งกรมปทุมวัน
>> ส่องเส้นทาง "เทพโจ๊ก" เหลืออีก 3 ขั้นสู่เก้าอี้ "ผู้นำสีกากี"
>> บิ๊กโจ๊ก ผู้ฝากผลงานไว้เพียบ! แลกกับค่าแรงที่ทำจน "ตัวลีบ" ถือว่าคุ้มมั้ย
แต่แล้วเอกสารคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงวันที่ 5 เม.ย. 2562 ที่ ผบ.ตร. สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.ตร. แบบขาดจากตำแหน่งเดิม จะส่งผลให้เส้นทางหรือจังหวะก้าวในการขึ้นไปเป็นหัวแถวของวงการสีกากีสะดุดหยุดลงหรือไม่ เป็นคำถามที่ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป