“นุ่น รมิดา” ทำหน้าที่ลูกดีที่สุดแล้ว สูญเสียคุณแม่ผู้เป็นที่รัก เสียใจแต่ก็ไม่ฟูมฟาย
ออกมาเปิดใจให้กับสื่อมวลชนได้ฟังเป็นครั้งแรก หลังจากที่นักแสดงสาว นุ่น-รมิดา ประภาสโนบล ต้องสูญเสียคุณแม่อันเป็นที่รักด้วยโรคมะเร็งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ งานนี้เจ้าตัวได้ควงหวานใจหนุ่ม หลุยส์ สก๊อต ที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจตลอดเวลามาให้สัมภาษณ์คู่กันอีกด้วย
โดย นุ่น รมิดา ได้เผยว่า ที่ผ่านมามั่นใจว่าทำหน้าที่ลูกได้ดีที่สุดแล้ว ถึงเสียใจอย่างไรก็ไม่ได้ถึงกับต้องฟูมฟาย เพราะเหมือนที่ผ่านมาคุณแม่ได้ให้เวลาทำใจมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ต่อจากนี้เธอก็ขอทุ่มเทเวลาให้กับคุณพ่อ ยอมรับแอบหวั่นท่านจะคิดมาก จึงพยายามพูดคุยและพาออกไปเที่ยวด้วยกันอยู่เสมอ
นุ่น : “ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดีค่ะ ของเคสนุ่นอาจจะไม่เหมือนทั่วไป เพราะคุณแม่เสียที่จีนค่ะ ก็ต้องทำเรื่องกับกงสุลที่ประเทศจีนเพื่อส่งคุณแม่กลับบ้านค่ะ จริงๆ จัดงานได้ช่วงสงกรานต์ แต่นุ่นมองว่าสงกรานต์เป็นวันรื่นเริง คือทุกคนรอวันนี้แล้วจะให้เขามางานแม่เรามันก็กระไรอยู่ เลยขอเลื่อนจัดสวดวันแรกเป็นวันที่ 15 ค่ะ”
ตอนที่คุณแม่เสียที่ประเทศจีน เราได้อยู่กับคุณแม่ไหม ?
นุ่น : “อยู่ค่ะ แต่มันก็เกือบสุดท้ายแล้ว เพราะคุณแม่หลับไปเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ ตอนที่คุณพ่อรู้ข่าวก็บอกว่าคุณหมอคาดว่าอีก 1-2 วัน คุณแม่จะเสียแล้วนะ แต่ท่านก็อยู่ได้ เหมือนท่านก็รอเราแหละ พอวันที่นุ่นไปบอกว่า เดี๋ยวเรากลับนะ เดี๋ยวเรากลับมาใหม่ ความดันหัวใจก็ค่อยๆ ลดลง แต่ด้วยความที่เราไม่รู้ว่าถ้าเราอยู่ต่อแล้วแม่จะอยู่ได้ต่อ เพราะเราก็กลัวงานเราจะเสีย กองละครก็รอถ่ายอยู่ ซึ่งพอเรามาถึงเมืองไทย คุณแม่ก็จากไปเลย”
ท่านไปสบายโดยไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอะไรเลยใช่ไหม ?
นุ่น : “คือตั้งแต่คุณแม่ป่วย นุ่นไม่เคยเห็นคุณแม่ต้องขอมอร์ฟีนหรืออะไรแบบนี้ ซึ่งผู้ป่วยเป็นมะเร็งส่วนใหญ่มักจะปวดกับสิ่งที่เป็นนี้ใช่ไหมคะ แต่แม่ไม่เคยค่ะ อดทนมาก”
มีคำพูดอะไรได้คุยกับท่านครั้งสุดท้าย ก่อนท่านจะจากไปไหม ?
นุ่น : “เราไม่ได้พูดอะไรกันเยอะนะคะ เพราะตั้งแต่ที่คุณแม่ป่วย หลังๆ เขาจะนิ่ง เขาจะเงียบ แต่เขาก็รู้แหละ สิ่งที่นุ่นทำเขารับรู้ได้ตลอด”
ช่วงที่ผ่านมา หลุยส์ ก็คอยอยู่ข้างๆ ตลอด ให้กำลังใจยังไงบ้าง ?
หลุยส์ : “ตอบคำถามยากเหมือนกันนะครับ สำหรับเรา เราก็ต้องอยู่ตรงนั้นตลอด และคอยซัพพอร์ต คอยสังเกตการณ์เยอะๆ เพราะมันจะเป็นผลกระทบในความรู้สึกของเขา เราก็ต้องมีวิธีคอยแก้ก่อนที่มันจะเกิด ต้องคิดเผื่อครับ”
นุ่น : “มันพูดยากนะ เพราะคุณแม่เราอยู่ที่นู่น และเราก็ต้องทำงานในขณะที่เสร็จแล้วจะขับรถไปได้ คือจริงๆ นุ่นก็ทำใจไว้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าแม่เป็นแล้ว แต่ด้วยความที่เราปกปิดแม่ และตั้งแต่วันแรกที่สัมภาษณ์เรื่องอาการป่วยแม่ นุ่นก็ไม่เคยบอก นุ่นต้องปิดพวกพี่ว่าแม่เป็นแค่เนื้องอก เนื่องจากแม่ไม่รู้ แล้วจะให้มารู้จากสื่อก็ไม่ได้ และในวันแรกที่เรารู้ว่าแม่เป็นเลย เอาตรงๆ เราก็พยายามทำใจ จุดไหนที่รักษาเขาได้และอาการดีขึ้น เราก็ได้แค่ดีใจค่ะ แต่คนรอบข้างนุ่นจะรู้ว่าถ้าสมมติเกิดอะไรขึ้นมา ทุกคนรอซัพพอร์ตนุ่นหมดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องเข้มแข็ง อีกอย่างเราเป็นผู้หญิงสายสตรอง เราก็จะไม่ค่อยได้แชร์ความอ่อนไหวให้กับคนอื่นได้เห็นเท่าไหร่”
นุ่น : “พอเราฝึกแบบนี้มาตลอด มันเลยเหมือนว่าวันหนึ่งเราทำใจได้ เราต้องเข้มแข็งเพื่อครอบครัว แต่วันเผาเขาก็ทำหน้าที่ที่ดีค่ะ หมายถึงว่า ดูแลคุณพ่อ ดูแลแขกให้เรา คุณพ่อก็ค่อนข้างแฮปปี้ เราและคนในครอบครัวก็คิดว่าคุณแม่ไปแบบดีที่สุดแล้ว”
ในครอบครัวแบ่งหน้าที่การจัดงานอย่างไรบ้าง ?
นุ่น : “เรามีกันแค่ 4 คน ด้วยความที่พ่อนุ่นรับราชการ พอรู้ว่าแม่เสียก็มีแต่คนอยากจะมาช่วยงานค่ะ มันเลยกลายเป็นว่าเราได้แบ่งหน้าที่กันค่อนข้างชัดเจน ใครทำครัว ใครรับแขก ใครทำดอกไม้ ทุกอย่างนุ่นว่าแม่เขาจัดสรรมา เหมือนแม่ได้ให้เวลาทุกคนทำใจมาก่อน พอแม่เสียจริงจากที่นุ่นประเมินนะ ญาติพี่น้องทุกคนเสียใจหมด แต่เหมือนเขารับรู้แล้วว่าแม่ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้ได้เลยคือทำให้ร่างกายของเขาไปดีที่สุด สมเกียรติที่สุดเท่ากับตอนที่เขายังอยู่”
จากนี้จะแบ่งเวลาดูแลคุณพ่อยังไงบ้าง ?
นุ่น : “ตอนนี้นุ่นก็พาคุณพ่อเข้าวงการบันเทิง (หัวเราะ) คือพ่อนุ่นเป็นผู้พิพากษา นุ่นนึกว่าเขาเกษียณแล้วจะได้อยู่กับเราแล้ว แต่ที่ไหนได้เขาเพิ่งโดนแต่งตั้งและอาจจะต้องดูงานอีกทีหนึ่ง ตอนนี้คุณพ่ออยู่กับนุ่นที่กรุงเทพฯ ค่ะ เราก็พยายามพาไปคลายเครียดแหละ อย่างการพามากองถ่าย แต่ด้วยสภาพอากาศบ้านเรา พามากองถ่ายเหมือนพามาลำบากอ่ะ เมื่อวานก็พาเขาไปนะ เขาก็ถามถ่ายเรื่องอะไร ถ่ายกับใคร เราก็บอกว่าน้ำตาล พ่อก็ถามน้ำตาลไหน เราก็บอก น้ำตาลนางงาม พ่อเลยบอก พ่อไปด้วย (ยิ้ม) ก็กระชุ่มกระชวยไป”
เหมือนสภาพจิตใจเราและคนในครอบครัวดีขึ้น ?
นุ่น : “เป็นบางครั้งที่มีซึมๆ บ้าง ในเวลาที่เราไม่ได้อยู่ใกล้ๆ หรือไม่มีคนเอ็นเตอร์เทน เขาก็จะนั่งคิดอะไรของเขาไป เราเป็นพ่อลูกเราคุยกันตรงๆ อยู่แล้ว เราก็มีถามเขานะว่า พ่ออยากไปหาหมอไหม ไปปรึกษาหมอไหมว่าจะทำยังไง จะอยู่ยังไง พ่อก็ตอบมาว่า พ่อไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก มันแค่มีบางอารมณ์ คนอยู่กันมา 50 ปีเนอะ ก็ต้องมีคิดถึง เราก็เข้าใจเขาได้”
เรียกว่าพาคุณพ่อมาดูแลใกล้ชิดแบบเต็มตัวแล้วใช่ไหม ?
นุ่น : “ไม่เชิงค่ะ คนเราเพิ่งเสียคนที่รักที่สุดไปเนอะ คือคุณพ่อนุ่นอยู่กับคุณแม่มาตลอด ส่วนพี่สาวกับนุ่นก็ต่างคนแยกย้ายทำงานคนละที่ พอตื่นเช้ามาหน้าที่ก็จะแตกต่างกัน แม่ก็จะไปต้มน้ำชงกาแฟ พ่อก็จะมาเปิดร้าน นุ่นเลยไม่สามารถให้พ่ออยู่ที่เดิมที่เคยอยู่ได้ ณ ตอนแรก ซึ่งนุ่นก็รู้แหละว่าเขาไม่ได้เป็นคนอยู่บ้านเฉยๆ แน่นอนว่าเขาอาจจะสลับมาอยู่กับเราบ้าง นุ่นเองก็ไม่ได้มีปัญหาตรงนั้น”
พยายามหากิจกรรมให้คุณพ่อทำเพิ่มเติมหรือยัง ?
นุ่น : “นุ่นว่ายิ่งหาเขายิ่งปวดร้าวนะ เราปล่อยให้เขาเป็นแบบที่เขาเป็นค่ะ แต่เราก็จะอยู่ข้างๆ เขา คอยชวนคุย แต่ไม่ถึงกับพ่อต้องไปทำอันนู้นนะ ทำอันนี้ต่อนะ หรือทำอันนั้น คนแก่ถ้าให้ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำมันเหนื่อย เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ แค่ขอให้บอก ถ้าเราทำได้ เราก็จะพาเขาไปด้วย อย่างตอนนี้ก็อยากให้เขาเริ่มออกกำลังกาย ปรับกิจวัตรใหม่”
ที่ผ่านมา เราคิดว่าทำหน้าที่ลูกได้อย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง ?
นุ่น : “ถ้าเทียบกับความเพอร์เฟกต์ของนุ่นนะคะ นุ่นว่านุ่นที่สุดของที่สุดแล้ว วันที่แม่เสียนุ่นเสียใจ แต่ไม่ฟูมฟาย เพราะนุ่นเต็มที่แล้ว มันหาทางได้และไปทางของมันได้แล้ว แต่มันสุดแล้วอ่ะ อันนี้เหมือนทางตันจริงๆ เราทำอะไรกับการติดเชื้อของแม่ไม่ได้ แม่เสียจากอาการติดเชื้อและไวรัสขึ้นสมอง เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเราทำได้ แต่ไม่เอา ไม่ไหวแล้ว ปล่อยแม่ไปเถอะ วันที่แม่ไปหมอยังให้เลือดแม่อยู่เลย นุ่นไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำ ไม่เสียใจกับการที่พาแม่ไปจีน หรือวันนี้ที่มันเป็นอย่างนี้ คือเราทำสุดๆ แล้ว แม้กระทั่งงานศพคุณแม่ก็ทำให้มันเต็มที่ที่สุด เท่าที่จะทำให้เขาภูมิใจ ให้เขายิ้มมาจากบนสวรรค์”
>>"นุ่น รมิดา" โพสต์เศร้า สูญเสียคุณแม่อันเป็นที่รักด้วยโรคมะเร็ง
>>"หลุยส์" อวยพรวันเกิด "นุ่น" ไม่หวานซึ้ง แต่มีค่ามาก สมกับเป็นว่าที่คู่ชีวิต
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ