"เขตต์ ฐานทัพ" เผยช่วงชีวิตที่พังหลังเลิกแฟนเก่าคู่จิ้น ก่อนแต่งงานมีครอบครัวอบอุ่น
เป็นพระเอกหน้าเด็กตลอดกาลเลยจริงๆ สำหรับ เขตต์ ฐานทัพ ที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีเจ้าตัวก็ยังคงหน้าเด็กตลอดๆ ล่าสุด เขตต์ มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการจนถึงปัจจุบันผ่านทางรายการคุยแซ่บ SHOW ทางช่อง ONE31 ที่มี หนิง ปณิตา และ ท็อป ดารณีนุช เป็นพิธีกร
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง?
เขตต์ : "ตอนนี้ก็มีดูแลการผลิตละคร แล้วก็เล่นละคร ยังอยู่ในแวดวงละครอยู่ก็ทำทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง "
อยู่วงการมากี่ปีแล้ว?
เขตต์ : ถ้านับตั้งแต่ถ่ายแบบก็ตั้งแต่อายุ 16 ปี ตอนนี้ก็ 20 กว่าปี ถามว่าทำไมเราอยู่ในวงการได้นาน ผมว่าหลายคนคงคิดเหมือนกัน นั่นก็คือ การมีวินัย ความรับผิดชอบต่อการทำงาน ใครไม่มีสิ่งเหล่านี้ผมว่าอยู่วงการได้ไม่นานหรอก"
หลายคนไม่รู้ว่าในวัยเด็กของพี่เขตต์ผ่านอะไรหลายๆ อย่างยิ่งกว่าละครน้ำเน่า?
เขตต์ : "จริงๆ อันดับแรก ตอนเข้าวงการคิดแค่อยากแบ่งเบาภาระของคุณแม่ คือคุณแม่ผมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณพ่อผมเสียตอนผม 2 กว่าๆ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่หาเลี้ยงเราด้วยเงินเดือน 3 พันบาท ตอนนั้นเราก็โตขึ้นเรื่อยๆ ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้ชายก็รู้สึกว่าเราอยากให้แม่สบาย อะไรที่แบ่งเบาภาระของคุณแม่ได้เราก็จะทำ เรารู้สึกแค่ตรงนั้นเอง"
เห็นว่าอยากแบ่งเบาภาระแม่ถึงขั้นไปเป็นเด็กยกน้ำแข็ง?
เขตต์: "คือมันไม่ได้ดราม่าขนาดนั้น จริงๆ แล้วเราแค่ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน คือมันโรงน้ำแข็งเล็กๆ ของคุณลุง ซึ่งผมเรียกว่าเตี่ยเพราะถือเป็นพ่อบุญธรรม แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราปิดเทอมหรือช่วงว่างจากการทำงาน แล้วคนงานโรงน้ำแข็งก็มีช่วงหยุด เมื่อคนงานหยุดเราจำเป็นต้องช่วย ก็ทำทุกอย่างตั้งแต่กรอกน้ำแข็ง แบกน้ำแข็ง ส่งน้ำแข็งช่วยที่บ้าน"
ตอนที่ไปแบกน้ำแข็งเข้าวงการหรือยัง?
เขตต์ : "ยังๆ มันเป็นช่วงรอยต่อพอดี ช่วงทำโรงน้ำแข็งเป็นช่วง 14-15 ปี พอ 16 ปี เริ่มเข้าวงการ ตอนนั้นฝึกงาน แล้วออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกับนิตยสาร เธอกับฉัน แล้วมีพี่ที่เป็นตากล้องคอลัมน์มาเจอผมก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น ได้ถ่ายแบบ เงินก้อนแรกที่ได้มาผมให้คุณแม่หมดเลย ตอนนั้นได้มาสามพันหรือห้าพัน ผมจำไม่ได้ซึ่งพอถ่ายแบบเสร็จก็เริ่มถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดีโอ เริ่มเล่นหนัง"
ทำงานได้ 2 ปี บอกแม่ว่า?
เขตต์ : "ตอนนั้นอายุ 18 ปี บอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ให้ออกจากงานเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ กติกาของผมทำงานทุกบาททุกสตางค์ผมจะเปิดบัญชีให้แม่ เซ็นเบิกให้เป็นสองคน"
การได้เข้าวงการทำให้ครอบครัวหรือชีวิตเราดีขึ้น?
เขตต์: "วงการบันเทิงให้ทุกอย่างในชีวิตของผมจนกระทั่งถึงวันนี้ แล้วก็ผู้มีอุปการะคุณทุกท่านมีส่วนช่วยให้มีเขตต์ ฐานทัพ จนถึงทุกวันนี้"
แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หายไปจากวงการพักนึง?
เขตต์ : "หายไปจากกระแส มันเป็นช่วงเรตติ้งตก มันไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ซึ่งมันอาจจะมาจากเรื่องส่วนตัวด้วย ต้องยอมรับจริงๆ เมื่อคู่จิ้นพังทลาย มันก็สลายตามไปด้วย"
ใช้คำว่าอกหักได้ไหม?
เขตต์ : "ได้เลย มันหนักหนา สาหัส คือปกติไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องหัวใจที่ทำให้กระทบกระเทือนชีวิตได้มากขนาดนี้มาก่อน"
ตอนนี้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนด้วยไหม?
เขตต์ : "เราต้องยอมรับว่าเราทำตัวเอง ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเปลี่ยน ทำให้ทุกอย่างมันมีปัญหา คือความเกเร ความหลงระเริง ความคึกคะนองของผม แต่ว่าความประมาทในการใช้ชีวิต ติดเพื่อนมันเป็นเรื่องปกติ มันทำให้เราเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น เราจะเข้าใจเลยว่าวันนึงที่เราอยู่จุดจุดนึงมันจะมีคนเข้ามาหาคุณเต็มไปหมด แต่วันนึงที่คุณดาวน์ลงทุกอย่างก็จะหายไป"
แล้วมันกระทบอะไรกับชีวิตเราบ้าง?
เขตต์ : "มันก็มีผลในเรื่องการงาน ทำให้บางสิ่ง บางอย่างดร็อปลง ผมยังให้ความสำคัญกับการงานอยู่ มันทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้"
คุณไม่ได้เสียเรื่องงาน แต่เสียเรื่องส่วนตัว?
เขตต์ : "พฤติกรรมส่วนตัวเสีย ผมเสียศูนย์ ผมแบบไม่กลับบ้าน ผมมีอพาร์ทเมนต์อยู่ตรงนี้ ผมเปิดร้านเหล้า ผมทำทุกอย่าง"
ช่วงนั้นมองค่าตัวเองดร็อปลงไปใช่ไหม?
เขตต์ : "อยากใช้ชีวิตให้มันสะใจ หนักสุดคือ ดื่มสิบกว่าวันติดกัน"
ครั้งนี้เจ็บหนักที่สุดในชีวิตไหม?
เขตต์ : "มันหนักที่สุดในชีวิตจริงๆ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตอีกเลย"
จุดไหนที่เราคิดว่าต้องเรียกสติกลับมา?
เขตต์ : "จุดที่คิดว่าชีวิตเรามันไร้สาระมากเกินไปแล้ว"
ตอนนั้นต้นสังกัดเรียกเข้าไปคุย?
เขตต์ : "มันเป็นช่วงหลายๆ อย่าง ตอนนั้นเป็นช่วงเรตติ้งตก ก็เข้าไปถามเหตุผลกับทางต้นสังกัด ต้นสังกัดยอมรับตรงๆ ว่าเรื่องส่วนตัวมันมีผลทำให้เรตติ้งคุณตก พอเรตติ้งตกคุณจะไม่ได้ในสิ่งที่เคยได้ การเป็นพระเอกหลังข่าวมันจะยากแล้ว"
บอกตัวเองได้ไหม ทำไมเราเจ็บหนักขนาดนี้?
เขตต์ : "อะไรที่มันไม่เคย ครั้งแรกมันมักจะเจ็บเสมอ ภูมิต้านทานมันยังไม่มี"
แต่หลังจากมีภูมิต้านทานแล้วชีวิตคุณก็ดีขึ้น?
เขตต์ : "ก็ดีขึ้น เป็นผู้เป็นคนขึ้น มีคนมาช่วยประคองสติมากขึ้น"
มีโอกาสคุยกับอดีตคู่จิ้นไหม?
เขตต์ : "เจอหน้าทักทายกันได้ปกติ ผมว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน มีความห่วงใย เป็นห่วง"
อะไรที่ทำให้เรารู้ว่าเราปลดล็อกตัวเองได้แล้ว?
เขตต์ : "วันนึงเรามาถึงจุดจุดนึงที่ถามตัวเองว่าชีวิตจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ชีวิตต้องการอะไร เราก็เลยพยายามจะหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิต ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ ปกติเราไม่เคยไปไหน เมาตลอด 3 ปี พอปีนั้นก็เลยเปลี่ยนที่อยู่ขึ้นไปเชียงใหม่ก็ไปเจอกับภรรยาที่โน่น บังเอิญมาก จริงๆ เราใกล้กันมาก เพราะเขาเป็นรุ่นน้องของเพื่อนผม ตอนนั้นเขาเป็นวีเจ ไปทำงานที่็โน่น"
มันปิ๊งกันเลยไหม?
เขตต์ : "ผมจำเขาได้ เอาจริงๆ แล้วผมชอบผู้หญิงหมวยๆ แล้วเขาเป็นผู้หญิงหมวย ตรงสเปกอันดับแรก อันดับที่สองคือเขาเคยถ่ายโฆษณาตอนอายุน้อยๆ ที่ผมจำได้ คือสตอรี่มันน่ารักดี ผมมีความรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าเก๋จังเลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนึงจะมาเจอเขาจริงๆ ก็เลยถามว่าน้องครับน้องใช่คนที่เคยถ่ายโฆษณาอันนี้ไหม เขาก็แปลกใจทำไมผมจำได้"
เห็นว่าเจอครั้งแรกคุณรู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ของลูก?
เขตต์ : "คือผ่านการคุย สมมติว่าผมเจอเขา ห้าทุ่มวันนั้นเรานั่งคุยกันเกือบ 9 โมงเช้า มันก็ทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนยังไง คือเขาเก่งมีบริษัทของตัวเองตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย คือความรู้สึกเราคิดว่าอยากให้ลูกเป็นยังไงก็หาแม่ที่เป็นแบบนั้น แล้วเขามีความคิดที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป"
คบกับน้องแนทนานไหมถึงจะแต่งงาน?
เขตต์ : "คือวันนั้นคุยกันแล้ว แต่ผมต้องเคลียร์ตัวเองประมาณ 3-4 เดือน คือเคลียร์สิ่งที่ผมสร้างไว้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นช่วง 3 เดือนเรายังไม่กล้าขอเป็นแฟน ก็คุยไปและเคลียร์ไปด้วย ก็ตกลงเป็นแฟนกันจากนั้นก็เริ่มคุยกันจริงจังว่าเราไม่ได้คบกันเล่นๆ นะ เราคบเพื่อสร้างอนาคตร่วมกันนะ ถามว่าขอแต่งงานตอนไหน เอาจริงๆ ไม่ได้ขอ มันเป็นอะไรที่รู้กัน จนกระทั่งวันที่ตกลงแต่งก็เลยมีเซอร์ไพรส์คุกเข่าขอแต่งที่หาดทราย คือตลอดเวลาที่คบกันเราก็คุยเรื่องแต่งงานมาตลอด"
แต่ตอนที่พี่เปิดตัวเรียบร้อยแล้ว มันก็จะมีกระแสข่าวค่อนข้างหนักว่า แนทไม่สวยเท่ากับคู่จิ้น?
เขตต์ : "ต้องยอมรับว่ามี แล้วก็ค่อนข้างทำให้แนทบั่นทอน เราสงสารเขา คือมันโดนเขาเต็มๆ เขาเสียใจร้องไห้เลย ผมก็ให้กำลังใจเขา ผมบอกว่าผมเป็นคนที่เลือก ผมเลือกเขาแล้ว ไม่ต้องแคร์คนอื่น จงเชื่อมั่นในตัวผม และด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เด็กเขาก็เริ่มทำให้ผมเรียนรู้ที่จะทำงานมากกว่าการทำงานในวงการ"
ทำอะไรกันบ้าง?
เขตต์ : "ทำเคเบิ้ลทีวี เคเบิ้ลก็กระเด็น ทำคลื่นวิทยุ โฆษณาไม่เข้าเป้าติดลบเดือนละ 3 ล้าน แต่ไม่เข็ดมีวิทยุอีกหนึ่งคลื่น อันนี้ไม่ต้องลงทุนแค่ลงแรงบริหาร แต่ก็ไปไม่ได้อยู่ดี"
ทั้งหมดทั้งมวลเรียกว่าหมดตัวเลยไหม?
เขตต์ : "ก็ใช้ได้พอสมควร แต่ยังไม่หมดนะ มีรายการทีวี ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ให้ภูมิคุ้มกันในการทำงานครั้งต่อๆ ไป ซึ่งคอนเสิร์ตเกาหลีก็จัดนะ และเจ็บหนักสุด ตัวแรกที่ทำด้วยความที่ศึกษาน้อย เรารู้ว่าเขามีกระแสจริง แต่เราลืมคำนวณว่ากระแสเขาอยู่ประมาณไหน ทำให้เราคำนวณคอร์สผิดพลาด คือการจัดคอนเสิร์ตเราไม่มีหนี้แต่เจ็บๆ เราหมดไปเป็นสิบล้าน แต่หลังจากนี้ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ"
ติดตามรายการคุยแซ่บ Show ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
อัลบั้มภาพ 18 ภาพ