เลือกตั้ง 2562: กรงกรรม กกต.?
ละครดัง “กรงกรรม” ที่คนติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง อวสานจบไปแล้ว ด้วยข้อคิดมากมายของแต่ละตัวละครที่คล้ายสภาพการเมืองไทยในเวลานี้ ที่หลายตัวละครยังติดอยู่ในบ่วงกรรมที่ทำร่วมกันมาหรือที่กระทำต่อกันมา ที่ทำท่าว่าจะมีคนต้องรับทั้งกรรมแถมติดกรงกับหนทางถัดจากนี้ โดยเฉพาะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจาก “กติกาใหญ่” อย่างรัฐธรรมนูญ 60 ที่คนเขียนไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้เขียน ซึ่ง “อ.มีชัย ฤชุพันธุ์” บอกชัดแล้วว่า “หมดหน้าที่” ปิดจ๊อบไปแล้ว อยู่ที่ “หน้างาน” ที่ฝ่ายต่างจะว่ากันไปกับ “รัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบไว้ให้เรา” ตามที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เคยว่าไว้
ที่นาทีนี้บทหนักตกอยู่กับ 7 กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่งานล้นหน้าตักท่ามกลางการบีบทั้งเวลาที่งวดใกล้ “เส้นตาย” 9 พ.ค. เข้ามาเรื่อยๆ แถมยังอยู่ในช่วงวันหยุด และช่วงพระราชพิธีสำคัญของชาติ ไม่ว่าจะเป็นคิวที่ต้องเร่งปิดจ๊อบการประกาศผลการนับคะแนนทุกเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ประกาศรับรอง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ประกาศการคำนวณสัดส่วนที่แต่ละพรรคจะได้รับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และ การคำนวณ ส.ส. พึงมีของแต่ละพรรค รวมทั้งประกาศลำดับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ได้รับจัดสรรตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ซึ่งในขั้นตอนเหล่านี้ยังมี “งานงอก” ที่ต้องเคลียร์ให้กระจ่างก่อนคือ “สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ” ที่มี 3 สูตร และสูตรของ กกต. ที่หารือกับอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ทำให้ขยายจาก 16 พรรคที่จะได้ ส.ส. เป็น 27 พรรค เป็นพรรคละ 1 ที่นั่งซะ 13 พรรคการเมือง ซึ่งเท่ากับไปเขย่าจำนวน ส.ส. ของ 16 พรรค ถูกโวยว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญ จนต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ศาลก็ชงกลับให้ กกต. จัดการเอง
ส่วนอีกเรื่องที่ กกต. ถูกขู่ว่าจะโดนทั้งกรรมและทั้งกรง คือ การร้องเรียนการเลือกตั้งที่มี 66 กรณีที่มีมูล และมีเป้าชัดอยู่ประมาณ 40 ว่าที่ ส.ส. ที่ไม่นับรวมกรณีที่งอกเพิ่มจาก “นักร้อง” กับปม “ถือหุ้นสื่อ” ของ “ธนาธร” โดยเฉพาะปม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ไปๆ มาๆ ถูกขยายความจนทำท่าว่าจะ “เหมาเข่ง” บรรดา ส.ส. ของหลายพรรค ที่ “ธนาธร” แสดงอาการแข็งกร้าวประกาศดับเครื่องชน โดยวิจารณ์ตรงๆ กล่าวหาการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง และการตรวจสอบ “ปมหุ้น” ของเขาโดย กกต. ว่า “มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ในวันที่เขาเข้าไปชี้แจงกับ กกต. และขู่ว่าเขาจะดำเนินคดีกับทุกคนที่ทำให้เขาเสียหาย (30 เม.ย.)
ก่อนที่ถัดมาอีกวันคือเมื่อวันก่อน (1 พ.ค.) “ธนาธร” จะออกมาจุดระเบิดลูกแรกโดยมี “นักการเมืองพรรคอื่นๆ” ที่เข้าข่ายกรณีเดียวกันกับเขาคือมีบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านสื่อระบุในหนังสือจดทะเบียนเช่นกัน เป็นตัวประกัน และบอกเบื้องต้นจากการเก็บข้อมูลมีว่าที่ ส.ส. ประมาณ 30 คนที่เข้าข่าย ซึ่งเขาจะดูว่า กกต. จะดำเนินการเหมือนกับเขาหรือไม่ ทั้งที่ประเด็นของ “ธนาธร” นั้นมี 2 ปมที่ชัดเจนคือ “เคยมีการประกอบกิจการสื่อจริง” และชัดเจนที่หนังสือราชการมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นวันที่ 21 มี.ค. 62 ซึ่ง กกต. จะเรียกหลักฐาน “สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น” ที่เรียกกันว่า บอจ.5 จาก “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า” ซึ่งในคดีที่ผ่านมาจะยึดจาก “เอกสารหลักฐานทางราชการ” เป็นตัวชี้ขาด เพราะ บอจ.5 นี้ แต่ละบริษัทเมื่อประชุมสามัญประจำปีแล้ว ต้องยื่นกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี แต่ที่ “ธนาธร” พยายามชี้แจงคือการโอนให้แม่วันที่ 8 ม.ค. ซึ่งว่ากันว่าปมหลักฐานต่างๆ ที่ธนาธรนำมาแสดงอาจบานปลายเป็นอีกข้อหาเกี่ยวกับการแจ้งเอกสารราชการที่แรงกว่า ที่ทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็น “ธนาธร” กำลังเบนเป้ามากดดัน กกต. ทำนองคนอื่นก็ผิดทำไมไม่โดนด้วย เพราะเหตุก่อนหน้านี้ กกต. ก็โดนหนักมาตลอดจากการตรวจสอบการทำงานโดยมี “พรรคอนาคตใหม่” เป็นหัวหอกจุดประเด็นทำลายเครดิต กกต. เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลต้องติดตามว่า ด้วยหน้าตักงานล้นมือของ กกต. ภายใต้เวลาที่บีบเร่งด้วยต้องตัดสินใจเด็ดขาดอีกหลายเรื่อง และแถมยังมาโดนอาการงอแงฟาดงวงฟาดงาพร้อมจะแลกแบบพลีชีพโดยตีขลุมประเด็นผลกระทบ “สมการการเมือง” ด้วยเหตุที่ กกต. ถูกมองว่าเป็นกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นมาโดย คสช. ย่อมเข้าข้างจนถูกนำมาเป็นปัจจัยการตอบโต้ของ “ธนาธร” ที่ “อนาคตใหม่” ถูกมองว่าเป็นลมใต้ปีกอันสำคัญของฝั่งการเมืองขั้วตรงข้าม จะจบลงอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ ดูทรงแล้ว อาจจะไม่จบสวยให้ข้อคิดแบบละคร “กรงกรรม” ซะแล้วละมั้ง