ส่องโปรไฟล์ "อำพน กิตติอำพน" มือทำงาน 7 รัฐบาล 7 นายกฯ หลังลือสนั่นจะเป็นนายกฯ คนนอก
ท่ามกลางช่วงเวลาอันเป็นมงคลยิ่งของพสกนิกรชาวไทย ที่การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ กำลังจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้
แต่ถึงกระนั้นบรรดาคอการเมืองจำนวนไม่น้อยก็ต่างพากันลุ้นตัวโก่งถึงสถานการณ์การเมืองของบ้านเราในปัจจุบัน เพราะแม้จะผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม มาแล้วเดือนกว่าๆ แต่ทว่าความชัดเจนต่างๆ ทั้งในเรื่องการประกาศรับรองผล สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ การร้องเรียนคุณสมบัติผู้สมัครหลายราย รวมไปถึงการร้องเรียนทุจริตเลือกตั้ง จนเล่นเอาผู้ดูแลควบคุมการเลือกตั้งอย่าง กกต. กลายเป็นตำบลกระสุนตกชนิดไม่เว้นแต่ละวัน
ส่อตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ หวั่นการเมืองเจอทางตัน
แม้ผลเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน แต่พอจะคาดเดาทิศทางได้ไม่ยากเย็นนักว่าการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลระหว่างสองฟากฝั่งแกนนำคือ ฝั่งพรรคพลังประชารัฐและฝั่งพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าฝ่ายไหนรวบรวมเสียงข้างมากได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำชนิดที่ผู้สันทัดกรณีแทบทุกสำนักพากันฟันธงล่วงหน้าว่าอายุของรัฐบาลชุดหน้าคงสั้นมากๆ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาและความหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นที่ว่ามาข้างต้น ที่เรียกกันทั่วไปว่าเดดล็อกหรือทางตันทางการเมือง ทำให้มีความพยายามอยู่ไม่น้อยที่จะหาทางออกซึ่งหนึ่งในนั้นคือกระแสข่าวลือเกี่ยวกับนายกฯ คนนอก นายกฯ คนกลาง ไปจนถึงนายกฯ พระราชทาน โน่นเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ Sanook! News เคยนำเสนอกระแสข่าวลือที่ว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะผ่านไทกร พลสุวรรณ หรือเทพไท เสนพงศ์
>> นายกฯ คนกลางชื่อ อ. มาแรง ถ้าการเมืองถึงทางตันจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
>> เทพไท ประชาธิปัตย์ เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เชียร์ "พลากร" เหมาะนั่งนายกฯ คนกลาง
สะพัดหนาหู "อำพน กิตติอำพน" นั่งผู้นำประเทศ
น่าแปลกที่จนถึงนาทีนี้ ข่าวคราวและกระแสข่าวลือเกี่ยวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่อาจจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอชื่อในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ดูจะไม่ได้ลดลงเลย มิหนำซ้ำกลับยิ่งลือกันหนักหน่วงขึ้นอีกต่างหาก
ล่าสุดนี่ถึงขนาดเผยชื่อเสียงเรียงนามกันแบบโต้งๆ กันไปเลยว่าผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ คนนอกในช่วงเวลาหลังจากนี้คือ นายอำพน กิตติอำพน หรือ ดร.กบ ผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีอยู่ในเวลานี้ ซึ่งไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยอยากจะนำโปรไฟล์ของ ดร.กบ มาฝากกัน
ก่อนจะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 ตุลาคม 2559 หากใครที่ติดตามแวดวงข่าวสารบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องจะต้องคุ้นชื่อคุ้นหู ดร.อำพน กิตติอำพน อย่างแน่นอน เพราะ ดร.กบ ถือเป็นข้าราชการพลเรือนระดับตำนานคนหนึ่งของเมืองไทย
ฝีมือฉมัง พุ่งพรวด "ซี11"
ที่ต้องบอกแบบนั้น เพราะในวัยยังไม่ถึง 50 ปี ดร.อำพน ก็สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งระดับ 11 หรือ ซี 11 ที่ถือเป็นระดับสูงสุดในวงการราชการเรียบร้อยแล้ว โดย ดร.กบ เริ่มรับราชการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2524 และก้าวหน้ามาเรื่อยๆ จนตำแหน่งสุดท้ายในกระทรวงเกษตรฯ คือ รองปลัดกระทรวง ซึ่งเทียบขั้นแล้วเป็นระดับ 10 หรือ ซี 10
จากนั้นในปี 2547 ดร.กบ ถูกย้ายข้ามห้วยมาอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ (ปัจจุบันมีการเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ในตำแหน่งเลขาธิการ ซึ่งนอกจากจะเป็นตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่เปรียบเสมือนมันสมองด้านนโยบายของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นการก้าวขึ้นเป็น ซี 11 อีกด้วย
หลังจากเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ครบ 6 ปี ในแบบที่ครบวาระ 4 ปี แล้ว ครม.ต่ออายุให้คราวละ 1 ปีอีกสองครั้ง จากนั้น ครม.ในสมัยนั้นมีมติโอนย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือเป็นแม่บ้านให้กับรัฐบาล อยู่ไปอยู่มาก็อยู่จนครบวาระเกษียณอายุราชการในปี 2559 เบ็ดเสร็จนั่งในตำแหน่งนี้อีก 6 ปี เท่ากับเป็นข้าราชการระดับ ซี 11 หัวแถวของข้าราชการประจำนานถึง 12 ปีต่อเนื่อง แถมยังมีโอกาสได้ไปนั่งเป็นประธานบอร์ดการบินไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับซูเปอร์ไฮเพาเวอร์ในเวลานั้นก็ว่าได้
ผ่านงาน 7 รัฐบาล
ดร.กบ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ถึงการที่สามารถผ่านการทำงานร่วมกับ 7 รัฐบาล 7 นายกรัฐมนตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรี 3 คน คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าใช้ความจงรักภักดีและตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ว่ากันว่าด้วยคุณสมบัติส่วนตัวทั้งประสบการณ์แน่นปึ้ก รวมถึงคอนเนกชั่นกับนักการเมือง นักธุรกิจ ทุกขั้วค่าย กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ ดร.กบ-อำพน กิตติอำพน คือชื่อที่กำลังถูกพูดถึงแทบจะทุกกลุ่มในโลกโซเชียลเวลานี้ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แห่งประเทศไทย แต่จะจริงหรือแค่ลือ อีกไม่นานคงได้รู้กัน