คืนความยุติธรรมซีอุย! ชาวเน็ตล่าชื่อ วอนศิริราชนำร่างออกพิพิธภัณฑ์ เห็นแก่ศักดิ์ศรีมนุษย์

คืนความยุติธรรมซีอุย! ชาวเน็ตล่าชื่อ วอนศิริราชนำร่างออกพิพิธภัณฑ์ เห็นแก่ศักดิ์ศรีมนุษย์

คืนความยุติธรรมซีอุย! ชาวเน็ตล่าชื่อ วอนศิริราชนำร่างออกพิพิธภัณฑ์ เห็นแก่ศักดิ์ศรีมนุษย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 10,000 คน ลงชื่อสนับสนุนการเรียกร้องให้พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช ยกเลิกการจัดแสดงร่างของนายซีอุย แซ่อึ้ง และถอดป้ายเหนือตู้โชว์ว่ามนุษย์กินคนออกไป หลังจากมีการถกเถียงในโลกออนไลน์ว่า ที่จริงแล้ว นายซีอุย ไม่ใช่มนุษย์กินคนอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ผู้ที่เริ่มสร้างแคมเปญนี้ขึ้นมาระบุในเว็บไซต์ Change.org ว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่านายซีอุยเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่ชอบการรับประทานอวัยวะภายในมนุษย์ แต่ที่จริงแล้ว ศาลตัดสินให้นายซีอุยทำผิดในคดีฆ่า ด.ช. สมบุญ (สงวนนามสกุล) แค่คนเดียว

ผู้เริ่มแคมเปญ บอกอีกว่า ญาติของผู้เสียชีวิตยืนยันด้วยตัวเองว่า นายซีอุย ไม่ใช่คนฆ่า

"ครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิตยังปฏิเสธว่าซีอุยนั้นไม่ใช่ฆาตกร หรือในบางคดีที่เขารับสารภาพ สามารถจับตัวผู้กระทำความผิดตัวจริงได้แล้วเสียด้วยซ้ำ 

อีกทั้งยังปรากฏในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าคดีที่ซีอุยถูกพิพากษาประหารชีวิตนั้นคือคดีฆาตกรรมเด็กชายสมบุญ คดีสุดท้ายเพียงคดีเดียว และในคดีนั้นซีอุยไม่ได้กินตับและหัวใจของเด็กชายสมบุญแต่อย่างใด" ผู้เริ่มแคมเปญ ระบุ

ญาติเหยื่อรายแรกเชื่อซีอุยไม่ได้ฆ่า

นายซีอุย แซ่อึ้ง มีการรายงานว่าเกิดที่เมืองซัวเถา ประเทศจีน เมื่อปี 2470 แต่ขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจที่บ้านเกิดย่ำแย่ จึงเดินทางหนีความยากจนมาที่ประเทศไทย และเริ่มทำงานที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2497

>> เปิดประวัติ ซีอุย

ด้านรายการความจริงไม่ตาย ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2561 ระบุว่า คดีแรกที่นายซีอุยตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับการฆาตกรรม เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2497 โดยพบว่าร่างของผู้ตายถูกผ่าท้องและนำอวัยวะภายในออกไป แต่หลังจากนั้นกลับจับคนทำผิดไม่ได้ แต่ต่อมาอีก 4 ปี นายซีอุย กลับสารภาพว่าเป็นคนทำ และนำตับและหัวใจของเหยื่อใส่ในกระเป๋ากางเกงและนำไปต้มที่โรงเต้าหู้ของนายจ้าง

ญาติของ ด.ญ. นิด ให้สัมภาษณ์ในรายการดังกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของนายซีอุย แน่นอน แถมมีพยานที่ยืนยันว่าฆาตกรเป็นคนอื่น

คำให้สัมภาษณ์นี้สอดคล้องกับนายวิชาญ เอี่ยมนิยม หลานเจ้าของโรงเต้าหู้ ที่บอกว่า ไม่มีทางที่นายซีอุยจะยกเตาโบราณไปต้มตับและหัวใจ 

รายการนี้นำเสนออีกว่า ชาวบ้านใน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ พูดตรงกันว่า ผู้ก่อเหตุตัวจริงน่าจะเป็นนายเกลี้ยง แต่นายเกลี้ยงเป็นญาติของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นในเวลานั้น จึงทำให้นายเกลี้ยงรอดจากการถูกดำเนินคดีมาได้ และทำให้นายซีอุย ต้องรับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ

น้องชายเหยื่อรายที่ 4 ลั่นคนฆ่าคือนายเกลี้ยง

ชื่อของนายเกลี้ยงได้รับการพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรายการดังกล่าวสัมภาษณ์น้องชายของเหยื่อรายที่ 4 ซึ่งเป็นเหยื่อรายเดียวที่รอดชีวิตจากทั้งหมด 7 ศพ ที่นายซีอุยเข้าไปเกี่ยวข้อง 

น้องชายของเหยื่อ บอกว่า ตนเคยหลอกถามพี่สาว และพี่สาวยืนยันว่าไม่ใช่นายซีอุยไม่ใช่คนทำแน่นอน แต่เป็นนายเกลี้ยง

 

โดนจับคาหนังคาเขาที่ระยอง

ถึงอย่างนั้น เมื่อเดือน ม.ค. 2501 นายซีอุย โดนจับคาหนังคาเขาที่ จ.ระยอง ขณะกำลังซ่อนอำพรางศพ ด.ช.สมบุญ ซึ่งพบว่าศพถูกผ่าท้องเพื่อเอาตับและหัวใจ และต่อมานายซีอุยไม่เพียงแต่สารภาพว่าฆ่า ด.ช.สมบุญ เท่านั้น แต่ยังฆ่าอีก 6 ศพที่โดนกล่าวหา

อย่างไรก็ตาม สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า นอกจากคดีฆ่า ด.ช.สมบุญ แล้ว ศาลไม่เคยตัดสินให้ซีอุยมีความผิดในคดีก่อนหน้านั้นเลย แต่ชายคนนี้กลับถูกสื่อหลายสำนักเขียนในพาดหัวข่าวอย่างรุนแรงว่าเป็น "มนุษย์กินคน"

คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ซีอุย

แม้นายซีอุยถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2502 แต่จนถึงขณะนี้ศพก็ยังไม่เคยได้รับการทำพิธีทางศาสนา ทั้งยังกลายเป็นภาพจำของคนที่มีพฤติกรรมรุนแรง ผ่านการบอกเล่า การนำเสนอในข่าว และการผลิตซ้ำความคิดผ่านภาพยนตร์หลายครั้ง

เหตุนี้ ผู้สร้างแคมเปญดังกล่าว จึงเรียกร้องให้พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช ยุติการจัดแสดงร่างของนายซีอุย และทำพฺิธีกรรมทางศาสนา พร้อมกับการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคดีของนายซีอุย เพื่อคืนความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ชายคนนี้

"ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะมาร่วมกันลงชื่อรณรงค์ให้พิพิธภัณฑ์ยุติการจัดแสดงร่างของซีอุย และคืนศักดิ์ศรีและความยุติธรรมให้กับชายผู้นี้ด้วยการนำร่างของเขาไปประกอบพิธีทางศาสนา และลบล้างตราบบาป 'มนุษย์กินคน' ด้วยการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ 

เพื่อให้สังคมไทยได้เรียนรู้จากความผิดพลาดว่าในอดีตเคยมีชายคนหนึ่งตกเป็นจำเลยสังคมเพราะการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีพยานหลักฐานของสื่อสำนักพิมพ์ และเพื่อเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวในการตระหนักถึงสิทธิและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งตนเองและผู้อื่น ของคนไทยทั้งปวง" ผู้สร้างแคมเปญ ระบุ

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook