Animal Farm ฉบับชูวิทย์ สุดแซบ! เจ้าของฟาร์มชอบขู่ "สี่สี่" กร้าวสัตว์อื่นอย่ามีปากเสียง

Animal Farm ฉบับชูวิทย์ สุดแซบ! เจ้าของฟาร์มชอบขู่ "สี่สี่" กร้าวสัตว์อื่นอย่ามีปากเสียง

Animal Farm ฉบับชูวิทย์ สุดแซบ! เจ้าของฟาร์มชอบขู่ "สี่สี่" กร้าวสัตว์อื่นอย่ามีปากเสียง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากเมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ข่าวที่มีประเด็นหนึ่งกลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมากนั่นคือ กรณีที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แนะนำหนังสือชื่อ Animal Farm ให้ประชาชนได้อ่าน

แต่กลับกลายเป็นกระแสที่ผู้คนให้ความสนใจกันอื้ออึงไปหมด เพราะหนังสือที่ จอร์จ ออร์เวลล์ หรือชื่อจริงคือ นายอีริก อาร์เธอร์ แบลร์ นักเขียนชาวอังกฤษเขียนขึ้นเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์ในฟาร์มแห่งหนึ่ง รวมตัวกันขับไล่มนุษย์ที่เป็นเจ้าของฟาร์ม โดยมีหมูตัวหนึ่งเป็นแกนนำ และตั้งทายาทขึ้นมาปกครองฟาร์ม และเริ่มกลายเป็นเผด็จการ ด้วยการตั้งกฎขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง คล้ายกับมนุษย์ที่โดนขับไล่ออกไป ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยระคนแปลกใจว่าทำไมเนื้อหาจึงคล้ายกับสถานการณ์การเมืองในบ้านเราเหลือเกิน

>> Animal Farm ไต่เทรนด์ทวิตเตอร์! หลังชาวเน็ตงง ลุงตู่แนะนำหนังสือเสียดสีเผด็จการ

>> 8 หนังสือแนะนำที่ “ลุงตู่” คู่ควร

>> "แอนิมอล ฟาร์ม" (Animal Farm) สรุปเนื้อหานวนิยายเสียดสีการเมืองสุดแสบ ที่ถูกแปลในไทยกว่า 10 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (30 พ.ค.) พล.ท.วีรชน ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยากให้เชื่อมโยงเป็นเรื่องการเมืองไปทั้งหมด และอย่าตีความว่าการแนะนำให้อ่านหนังสือเป็นการดูถูกผู้อื่น เพราะที่จริงการอ่านหนังสือจะช่วยสร้างหลักคิด สร้างปัญญาไม่ใช่ปัญหา

>> บิ๊กตู่ ย้ำชัด! แนะนำหนังสืออ่าน "Animal Farm" ไม่เกี่ยวปมการเมือง

ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดังก็ไม่พลาดหยิบจับกระแสดังกล่าว ด้วยการโพสต์ข้อความและภาพในหัวข้อว่า "Animal Farm ฉบับ ชูวิทย์" ซึ่งมีเนื้อหาเผ็ดร้อน ดุเดือด แสบๆ คันๆ สไตล์เฮียชูเหมือนเช่นเคย

เจ้าของฟาร์มเอาแต่ใจ ไม่สนสิทธิเสรีภาพ

นายชูวิทย์เกริ่นว่า แอนนิมอล ฟาร์ม ฉบับชูวิทย์ เริ่มจากเจ้าของฟาร์มเป็นชาวไร่ที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ ออกแนวโหด ชอบสั่งการ และขี้บ่น พร่ำบอกแต่ว่า ทำงานฟาร์มเป็นงานที่เหนื่อยยากแสนสาหัส หากไม่จำเป็นไม่อยากทำ ที่ทนทำอยู่ทุกวันนี้เพราะเห็นแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายในฟาร์ม ที่มีทั้ง หมู หมา กา ไก่

เจ้าของฟาร์มสัตว์บอกว่าเวทนา ถือว่าทำบุญทำทานให้ ไม่ได้ต้องการทำเป็นอาชีพแต่อย่างใด เพราะแต่ก่อนมีอาชีพอื่นที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีกว่านี้แยะ อุตส่าห์เสียสละมาทำฟาร์มสัตว์ “ให้เข้าใจกันด้วยสิ ปัดโธ่!”

วิธีการทำฟาร์มของแก คือ ให้สัตว์ทำในสิ่งที่ผิดธรรมชาติ หากสัตว์ตัวไหนไม่เชื่อฟัง จะถูกจับใส่กรงขังเดี่ยว ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน

หากแกโมโห ก็จะเอากะลาเคาะโป๊กๆ ออกเสียงขู่เป็นเลขว่า “สี่สี่” พวกสัตว์ทั้งหลายก็จะกรูแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิงไปตัวละทิศตัวละทาง บรรดาสิงสาราสัตว์ก็กลัวจนขี้หดตดหาย กลายเป็นสัตว์เชื่องเหมือนลูกหมา

"ม้า" คือสัตว์ประเภทแรกที่เข้ามาเอาใจเจ้าของฟาร์ม

นายชูวิทย์โพสต์ต่อไปอีกว่า สัตว์ประเภทแรกที่รีบเข้ามาคลอเคลียเอาใจคือ “ม้า” ที่เคยช่วยเปิดทางให้เจ้าของฟาร์มเข้ามายึดฟาร์มไปจากเจ้าของเดิม ม้าตัวนี้เป็นม้าสีดำ อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของฟาร์ม เป็นสัตว์ที่มักคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ โอ้อวดถึงความรู้ ความสามารถ เพราะถือว่าเคยเป็นผู้นำฝูงในฟาร์มชนชั้นสูงมาก่อน

เมื่อกระจายฝูงออกมา ม้าตัวนี้ก็ทำตัวเป็นจ่าฝูงเรียกร้อง “ชุมนุมมวลมหาสัตว์” จนกระทั่งเจ้าของฟาร์มสังเกตเห็นว่า น่าจะถือโอกาสนี้เข้าปกครองสัตว์ด้วยวิธีการที่เจ้าของฟาร์มสมัยก่อนเคยทำ แต่เป็นระบบใหม่ถอดด้ามที่คำนึงถึงผลผลิตล้วนๆ ไม่สนใจคุณภาพ ชนิดที่ซีพีงงว่าทำได้ยังไง?

ผ่านมา 5 ปี เจ้าของฟาร์มติดใจ แต่งตั้ง "หมู" ออกกฎใหม่

โพสต์ของนายชูวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าของฟาร์มปกครองมาได้ราว 5 ปี บรรดาสัตว์ต่างๆ เริ่มไม่พอใจ เพราะถูกจำกัดเสรีภาพของสัตว์ ต้องอยู่ในกรง พอแกอารมณ์ดีก็ลูบหัวปลอบว่า “ใจเย็นๆ เดี๋ยวแต่งเพลงให้สัตว์ฟัง” ทั้งๆ ที่สัตว์ไม่อยากฟัง เพราะหิวไส้จะขาด จะให้มาฟังเพลงอะไรซ้ำๆ กรอกหูอยู่ตลอดเวลา?

เจ้าของฟาร์มชักติดใจในผลประกอบการ จึงแต่งตั้ง “หมู” ที่เป็นสัตว์เฉลียวฉลาดแกมโกง ออกกฎต่างๆ ร่วมวางแผนกันกับ “หมูอาวุโส” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน ในที่สุดได้ออก “กฎ” ที่คิดว่าสัตว์อื่นๆ ไม่สามารถอ้าปากหืออือได้ โดยเฉพาะกับสัตว์ปีกอย่าง “พญาระกา” ที่เป็นสัตว์พิเศษ มีปีก นึกอยากจะบินไปไหนก็ได้ แม้ว่าทำผิด ก็ถือโอกาสบินหนีไปเขตดินแดนอื่นเสีย เจ้าของฟาร์มทำอะไรไม่ได้

โดยหมูอ้างกับสัตว์อื่นๆ ว่าที่ต้องทำตามกฎใหม่เพราะสัตว์ทุกตัวจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีเสรีภาพ เดินวิ่งไปไหนก็ได้ ตามที่เจ้าของฟาร์มเคยสัญญาเอาไว้

เหล่าฝูงสัตว์ต่างก็กระตือรือร้น ตีปีกบ้าง ร้องกันเจี๊ยวจ๊าวบ้าง ที่จะได้อยู่ในกฎใหม่ที่เจ้าของฟาร์มเปิดโอกาส หลังจากฟาร์มทรุดโทรมเหม็นเน่ามากว่า 5 ปี ทำให้สัตว์หลายชนิดเป็นโรคติดต่อตายไปเป็นอันมาก ส่วนที่เหลือก็เฉาเป็นง่อย เช่น เป็ดหางแดง

สัตว์อื่นไม่พอใจกฎใหม่ มีเพียง "งูเห่า" หัวเราะชอบใจ

หลังจากนั้น นายชูวิทย์เล่าต่อในโพสต์ว่า เมื่อได้เห็นกฎใหม่ที่หมูออกมาแล้ว สัตว์อื่นๆ ถึงกับอุทานว่า “ไx้yัตว์!” ด้วยความงุนงงงุ่นง่าน แต่ทว่ากลับมีสัตว์อยู่ชนิดเดียวที่แอบหัวเราะชอบใจเหลือหลาย นั่นคือ “งูเห่า” เพราะมีโอกาสขยายพันธุ์ได้แน่นอน ตามกฎใหม่นี้ ส่วนสัตว์อื่นๆ ต้องจำใจทำตามกฎใหม่ของเจ้าของฟาร์มอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นไม่รอด

หมูยังออกแบบการขยายพันธุ์เพิ่มอีก 250 ตัว ไว้เป็นเชื้อความฉลาดแกมโกง เพื่อหวังใช้วิธี “ผสมเทียม” คัดเพศได้ตามใจชอบ แถมเจ้าของฟาร์มควบคุมด้วยตัวเอง ไม่มีโอกาสพลาดให้เชื้อแปลกปลอมหลงแฝงเข้ามาเป็นอันขาด

"ม้า-ลา" ผูกขาขอต่อรอง หลังจัดกฎใหม่เสร็จ

โพสต์ดังกล่าวยังเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากการจัดกฎใหม่เสร็จสิ้น ปรากฏว่ามีความพยายามต่อรองของสัตว์กับเจ้าของฟาร์ม เรื่องไม่น่าเกิดก็มาเกิดขึ้นได้ โดยมี “ม้ากับลา” ที่ผูกขาติดกันไม่ยอมไปไหน เพราะถือว่าดั้งเดิมเคยอยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาก่อน

แต่ม้าก็คือม้า มีนิสัยเหมือนเดิม คิดว่าตัวเองฉลาดเสียเหลือทน หลงตัวเอง ชอบเอาหน้า ทั้งที่ตอนนี้ขาหน้าหัก บางตัวก็ยอมสยบ คิดว่าอดอยากมานานหลายปี แต่อดต่อรองไม่ได้ ตามประสาสัตว์ที่คิดถึงแต่เรื่องทำให้ท้องอิ่ม บางตัวก็ยังพยศ คิดว่าเอาตัวรอดได้ จนถึงขนาดเปิดฉากทะเลาะเบาะแว้ง ไล่ให้ออกจากฝูงกันเอง

ส่วนลาก็ยังเป็นลาวันยันค่ำ หวังอาศัยม้าเพื่อต่อรองกับเจ้าของฟาร์ม ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าของฟาร์มเป็นคนถืออำนาจ ไม่ชอบทำตามใจใคร คิดว่าเมื่อตัวเองเป็นคน จะไปให้สัตว์มาต่อรองได้ยังไงกัน? มันผิดวิสัยธรรมชาติของชนชั้นปกครอง “มนุษย์ต้องปกครองสัตว์”

สัตว์อื่นขอต่อรองบ้าง เจ้าของฟาร์มลั่น "อย่าสะเออะมีปากเสียง"

นายชูวิทย์เล่าปิดท้ายในโพสต์ว่า เมื่อสัตว์อื่นๆ เริ่มรู้ตัว จึงทำเหมือนม้ากับลาบ้าง ทำให้เจ้าของฟาร์มเริ่มคิดได้ว่า ไม่น่าไปลงทุนทำฟาร์มใหม่ให้เสียเวลา เลี้ยงเหมือนเดิมดีอยู่แล้ว ต้องขู่ ต้องเฆี่ยน ให้เชื่อฟังถึงเอาอยู่ กฎที่กำแพงจึงเหลืออยู่ข้อเดียว คือ “เจ้าของฟาร์มต้องอยู่รอดเสมอ” สัตว์อื่นๆ อย่าได้สะเออะมีปากเสียง ไปเดิน 2 ขาใส่สูทเหมือนคนไม่ได้เด็ดขาด

สัตว์ต้องอยู่อย่างสัตว์เท่านั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook