เสี่ยหนุ่มโวยแบงก์ดัง จ่ายเช็คปลอมลายเซ็น 47 ใบ เงินหายวับ 2.5 ล้าน

เสี่ยหนุ่มโวยแบงก์ดัง จ่ายเช็คปลอมลายเซ็น 47 ใบ เงินหายวับ 2.5 ล้าน

เสี่ยหนุ่มโวยแบงก์ดัง จ่ายเช็คปลอมลายเซ็น 47 ใบ เงินหายวับ 2.5 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักธุรกิจหนุ่มเชียงใหม่ร้องผ่านสื่อ ลูกน้องตัวแสบแอบปลอมลายเซ็นลงเช็ค 47 ใบ เบิกเงินกับธนาคารเข้าบัญชีตัวเอง กว่าจะรู้ตัวเงินหาย 2.5 ล้าน โวยความสะเพร่าของธนาคาร

(12 มิ.ย.) นายวีรวัฒน์ อายุ 42 ปี หนุ่มเจ้าของธุรกิจร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งใน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนถึงธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อต้องการให้แสดงความรับผิดชอบ ในกรณีพนักงานของธนาคารทำหน้าที่บกพร่อง อนุมัติจ่ายเงินสดตามเช็คที่มีคนปลอมแปลงลายเซ็นเบิกเงินจำนวน 47 ฉบับ รวมเป็นเงินกว่า 2.5 ล้านบาท

นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม 2560 เรื่อยมา กระทั่งเดือนตุลาคม 2561 โดย นายนิติพงษ์ หัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทของตน ได้ทำการปลอมแปลงลายเซ็นของตน นำไปสั่งจ่ายผ่านเช็ค รวมเป็นจำนวนทั้งหมด 47 ใบ และสั่งจ่ายเข้าบัญชีของนายนิติพงษ์ เป็นเงินกว่า 2.5 ล้านบาท

ต่อมาตนได้ทำการตรวจสอบพบว่าเงินใบบัญชีหายไป โดยมีเส้นทางถูกสั่งจ่ายผ่านเช็คเข้าไปยังบัญชีของนายนิติพงษ์ จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับและดำเนินคดีกับนายนิติพงษ์ รวมทั้งได้มีการติดตามเงินคืน ปัจจุบันได้คืนกลับมาแล้ว 2 ล้านบาท และยังคงติดค้างอีกประมาณ 4 แสนบาท

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ตนได้ทำหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากธนาคารดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท แต่กลับได้รับการปฎิเสธ โดยธนาคารทำหนังสือชี้แจงมีเนื้อหาอ้างว่า ธนาคารตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ากรณีที่เกิดขึ้นพนักงานของธนาคารได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อบนเช็คทุกฉบับแล้ว

อีกทั้งพนักงานเห็นว่าลายเซ็นตรงกัน จึงได้สั่งจ่ายเงินไปตามเช็ค ทั้งสิ้น 47 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท ตามพฤติกรรมและข้อเท็จจริงพนักงานของธนาคารไม่ได้ประมาทเลินเล่อในการจ่ายเงินตามเช็ค จึงไม่สามารถชดใช้เงินค่าเสียหายตามที่เรียกร้องได้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเช็คที่มีการลงลายมือชื่อทั้งหมดส่งไปให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ก็พบว่าลายเซ็นจากเช็คทั้ง 47 ฉบับนั้น เป็นลายเซ็นปลอมทั้งหมด

นายวีรวัฒน์ ระบุว่า การที่ธนาคารปฏิเสธความรับผิดชอบ ทำให้ตนเกิดความไม่มั่นใจในระบบของธนาคาร เช่นเดียวกับประชาชนอีกหลายคนที่ฝากเงินกับธนาคารที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่กลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จากนี้ประชาชนจะไว้ใจธนาคารได้อย่างไรว่า จะรักษาเงินในบัญชีไว้ได้ เบื้องต้นตนได้ปรึกษากับทนายความแล้ว อาจจะเดินหน้าฟ้องร้องธนาคารเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook