จงภูมิใจเถิด ที่เกิดมากลายพันธุ์ เพราะฉันคือ “X-Men”
ทุกคนคะ! เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความมั่นหน้าของกะเทย เพราะมันคือ Pride Month เทศกาลเฉลิมฉลองและการเรียกร้องสิทธิของชาวเพศหลากหลายทั่วโลก ชะละล่า ฉะนั้นในเมื่อคำว่า “Pride” มันแปลว่า “มั่น” ดังนั้นในช่วงนี้ เวลาเทยเดินเข้าห้างแล้วประตูอัตโนมัติเปิดเองต่อหน้า มือไม้มันก็ผายออก มโนว่าตัวเองมีพลังวิเศษใช้เปิดประตูเองได้ ประหนึ่งว่าเป็นมนุษย์พิเศษกว่าคนอื่นทั่วไป
และมันก็ประจวบเหมาะพอดีกับที่ตอนนี้ หนังมนุษย์พลังพิเศษ X-Men: Dark Phoenix ก็กำลังเข้าฉายอยู่ด้วย ซึ่งเทยก็พบว่าจริงๆ แล้ว ในโลกของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เนี่ย เขากำลังพยายามบอกเรื่องราวของชาวชนชายขอบอยู่มากเลยทีเดียว มาค่ะ เทยจะเมาท์ให้ฟัง
X-Men เป็นการ์ตูนที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Marvel Comics โดยผู้วาดและคิดเรื่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณปู่สแตน ลี ที่เทยคิดว่าทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าพ่อปู่ก็จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อ ปลายปี 2018 อาลัยปู่นะคะ
ตัวเนื้อเรื่องการ์ตูนดั้งเดิมก็พูดถึงการที่มีมนุษย์ที่มีพลังพิเศษขึ้นมา เช่น ไซคลอปส์ที่มีดวงตาเปล่งแสงได้ สตอร์ม นางพายุ เทพธิดาพยากรณ์อากาศได้ดั่งใจ หรือนางจีน เกรย์ สาวพลังจิตอ่านใจย้ายวัตถุต่างๆ โดยมนุษย์เหล่านี้เขาใช้คำเรียกว่า “Mutant” หรือ “มนุษย์กลายพันธุ์” นั่นเอง ส่วนคำว่า X-Men นั้น ก็คือคำที่ใช้เรียกเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่เลือกต่อสู้กับฝ่ายดีภายใต้การนำของ Professor X หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นคนของ X นั่นเองค่ะคุณขา
แต่ทีนี้ว่าถ้าคนมีพลังวิเศษสู้กันในสถานที่พิเศษแฟนตาซีไปเลย มันก็ไม่เท่าไหร่ถูกไหมคะ แต่เผอิญเนื้อเรื่องเขาก็ดันปูมาให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เนี่ย มีฉากหลังเป็นโลกมนุษย์ปกติ โลกมนุษย์ที่เราๆ ใช้ชีวิตอยู่นี่แหละค่ะ และด้วยความที่มันเป็นแบบนั้น โลกในเรื่องเลยถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง “มนุษย์ปกติ” และ “มนุษย์กลายพันธุ์” พอมันเป็นแบบนั้นแล้วเนี่ย เนื้อหาอันเข้มข้นของเรื่อง ก็เลยมาขยี้เอาประเด็นของความแตกต่างนี่แหละค่ะ และเมื่อ X-Men ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ในปี 2000 ประเด็นเรื่องการต่อสู้กันเพื่อหาจุดยืน จุดมั่นของคนที่แตกต่างกัน มันก็เริ่มมาเรื่อยเลย
แน่นอนค่ะ ถึงแม้ว่าพวก X-Men นางจะเป็นคนมีพลังพิเศษ ระเบิดแหก แตกเป็นแตกได้หมดอย่างไร เมื่อเขายังต้องใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ปกติ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ถูก “หวาดกลัว” และโธ่ถัง เมื่อมีความกลัว มันก็เกิดความเกลียด ความเกลียดก็ก่อสงครามและการหยามเหยียด สาธุ!
ดังนั้นเหล่ามนุษย์ที่ “ไม่ปกติ” ตามคำนิยามของเหล่าคน “ปกติ” บ้างก็ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ กลายเป็นทาส กลายเป็นเครื่องมือ กลายเป็นอาวุธ และถูกปฏิบัติเหมือนพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่ละตัวละครในเรื่องนี้ไม่ว่าจะในเวอร์ชั่นการ์ตูนหรือภาพยนตร์ หลายตัวก็มีเรื่องราวบาดแผลที่ได้จากมนุษย์ปกติ ชนิดที่ดาวพระศุกร์ทุกข์ระทมไม่แพ้ละครช่องบ้านเราเลยค่ะ จะมีก็เพียงฝั่งทีมของชาร์ลส์ ซาเวียร์ หรือ Professor X นั่นแหละค่ะ ที่พอจะ “ประนีประนอม” กับมนุษย์ได้ และเขาก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เป็นนักรณรงค์พัฒนา ถึงขั้นเปิดโรงเรียนสำหรับผู้มีพรสวรรค์
ผิดกับฝั่งตัวร้ายอย่าง อีริค หรือ แมกนิโต้ เด็กชายพลังพิเศษที่สามารถควบคุมโลหะได้ทุกอย่าง ฮีรอดตายมาจากค่ายกักกันนาซีตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื้อเรื่องฮีมาแบบนี้ จึงไม่แปลกเลยที่ชีวิตของฮีทุกข์ระทม ขมปานผิวมะระขี้นก ต่างจากชาร์ลส์เพื่อนของฮี ที่โตมาในครอบครัวชนชั้นสูงอันอบอุ่นฟุ้งเฟ้อ เมื่อที่มาต่างกัน ผลกระทบที่ทั้งคู่ได้รับจากมนุษย์จึงต่างกัน คนนึงก็โลกสวยใสเซเลอร์มูนสไตล์ เชื่อว่ามนุษย์เขามีความดี แต่อีกฝั่งก็บอกว่าอย่ามาจ้อจี้ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์แห่งความเกลียด ฉันจะฟาดๆๆ ไม่ยั้ง
เนื้อเรื่องของ X-Men ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน จะแอคชั่นมากหรือน้อย เนื้อเรื่องก็เริ่มมีการสอดแทรกประเด็นของคนชายขอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ก็แหม โครงหลักของมันมาแบบนั้นนี่เนอะ จึงไม่แปลกเลยค่ะ ที่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคของการเรียกร้องสิทธิของคนชายขอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนผิวสี สิทธิสตรี และแน่นอนชาวเพศหลากหลาย LGBT อย่างที่หลายๆ คนคงทราบ หนังเรื่อง X-Men ก็เลยกลายเป็นตัวแทนเนื้อหาที่น่าสนใจของการต่อสู้ของคนชายขอบเหล่านี้
“Be mutant and proud” หรือ “จงภูมิใจที่กลายพันธุ์” วลีเด็ดที่มาจาก X-Men First Class ในปี 2011 ก็ยิ่งตอกย้ำยุคของการเรียกร้องสิทธิของคนที่เคยถูกตราหน้าว่าแปลกประหลาดขึ้นมา โดยตัวหนังได้เปลี่ยนมาโฟกัสที่ตัวละคร เรเวน หรือ มิสทีค มนุษย์กลายพันธุ์ที่สามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ เพศไหน สีผิวไหน สูงต่ำดำขาว ชนชาติอะไร ชีเปลี่ยนร่างไปเป็นเขาได้หมด ช่างเป็นตัวแทนของเพศลื่นไหล Non-Binary เอามากๆ เลยค่ะคู๊ณ แล้วพลังนางก็แซ่บ มีความกลมกล่อมแบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ดีเกินไป แล้วก็ไม่ได้ร้ายจนสุดโต่ง รวมถึงในภาค Days of Future Past ที่นางก็ได้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ดีกว่า ท่ามกลางข้อขัดแย้งและกรณีพิพาทระหว่างมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์กลายพันธุ์ โดยเนื้อเรื่องในช่วงนั้น ถูกปูให้อยู่ในช่วงสงครามเวียดนามในปี 1973
แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่ X-Men พยายามพูด มันจะเป็นการสอดไส้ แทงกลางปล้อง แหมหล่อน แสร้งว่าทำมาเป็นเอาใจโลกสมัยใหม่ ที่เขากำลังพยายามเชิดชูสิทธิเพศหลากหลายหรือเปล่า ที่ทำคือไม่อยากตกรถไฟล่ะเส่ะ ดูออกไหม แต่จะว่าอย่างนั้นไปก็ไม่ได้อีกค่ะ เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดูต้นฉบับ X-Men ใน Comic ดั้งเดิมตามจักรวาลหลักแล้วเนี่ย ก็ปรากฏว่า มีฮีโร่ในจักรวาล X-Men ที่เป็นเพศหลากหลายด้วยนะเออ
เทยขอยกตัวละครกรุบๆ จากจักรวาล X-Men ที่เปิดตัวว่าเป็นชาว LGBT มาให้พอฟินกันเบาๆ เริ่มจากพ่อหนุ่ม Iceman มนุษย์น้ำแข็งที่ปรากฏตัวมาตลอดทั้งภาคการ์ตูน ภาพยนตร์แทบจะทุกภาค และโถโอละพ่อ ตามต้นฉบับดั้งเดิม ฮีผิดหวังจากความรักมาเรื่อยเลย ฮีก็เลยบอกเฉย ว่าฮีอาจจะเป็นไบ หรือเกย์เลยค่ะ
หรือเอาให้เข้มกว่านั้นไปอีก คู่อมตะประจำเรื่องนี้ อย่าง พ่อ Deadpool สุดฮาร์ดคอร์เนี่ย ฮีก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าตัวฮีนั้นเป็น Bisexual เจ้าค่ะ และที่พีคไปกว่านั้นก็คือ คู่ขาประจำที่ฮีชอบไปแอ๊วเอินเป็นประจำก็คือ เจ้าหนูปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หรือ Spider-Man นั่นเอง โดยที่เราจะเห็นอาร์ตเวิร์คที่มีสองตัวละครนี้อยู่ด้วยกันประจำอยู่เรื่อย
แอร๊ยยยยย ชวนจิกหมอนเว่อร์ แต่เผื่อใครจะงง Deadpool เป็นหนึ่งในตัวละครที่ถูกรวมเข้ามาในจักรวาล X-Men ด้วยค่ะ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ด้วย ซึ่ง Deadpool ปรากฏตัวใน X-Men มาแล้วครั้งนึง ใน The Wolverine Origins
แน่นอนค่ะ เลสเบี้ยนก็มีนะคะ อย่างเช่น Sage และ Storm ที่ก็มีโมเมนต์โรแมนติกต่อกันอยู่เนืองๆ เลยค่ะ
แต่ก็นะคะ ในฉบับภาพยนตร์ก็ยังไม่มีตัวละคร LGBT ปรากฏในหนังซูเปอร์ฮีโร่เลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะค่ายไหน จักรวาลไหนเลยล่ะค่ะ แต่ทว่าก็มีข่าวล่าข่าวลือ ว่าหลังจากปีนี้เป็นต้นไป ทาง Marvel นางก็แจ้งว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีตัวละคร LGBT เข้ามาเพิ่มด้วย
ฉะนั้นชาวธงรุ้งก็รอติดตามกันต่อไปนะคะ
ล่วงเลยมาจนถึงภาคล่าสุดที่กำลังเข้าฉายอยู่ตอนนี้อย่าง X-Men: Dark Phoenix ที่กล่าวถึงตัวละคร จีน เกรย์ ที่เธอดันกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังมากเกินไปจนควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นที่หวาดกลัวของทั้งมนุษย์ปกติและมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยกันเอง ซึ่งเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร เทยก็คงขอให้ทุกคนไปติดตามกันในโรงภาพยนตร์
Star2
แต่ภาคนี้ ดูเหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่า ทุกคนล้วนมีด้านดีและด้านเสีย ดังนั้น เราจะสามารถยอมรับตัวตนของมนุษย์กลายพันธุ์ที่ก็มีข้อเสียไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์คนอื่นๆ ปกติทั่วไปได้หรือไม่ ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากการเรียกร้องของ LGBT ชาวเพศหลากหลายเลยนะคะเทยว่า
เพราะจะเพศไหน เราทุกคนก็คือมนุษย์อ่ะค่ะ จะดีจะร้ายอย่างไร ก็ตัดสินกันที่การกระทำ ไม่ใช่ปัดให้ใครไปเป็นชนชั้นรองของใคร กะเทยนะคะ ไม่ใช่พรมเช็ดเท้า แหม๊!!!!
อย่างไรเทยก็ขอใช้พลังวิเศษของเทย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในสังคมต่อไปนะคะ ใครขวาง เทยจะกลายร่างเป็นนางฟินิกซ์ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
เหยี่ยวเทย รายงาน