จับแท็กซี่โกงนักท่องเที่ยว ติดมิเตอร์เทอร์โบจากสุวรรณภูมิไปข้าวสาร ฟันไปเกือบ 4,000
เพจเฟซบุ๊กของ ตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ Suvarnabhumi Airport Tourist Police โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 62 ว่า ด้วยเรื่องเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 62 เวลาประมาณ 15:40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ทท.1 (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ได้รับแจ้งจากสายด่วน 1155 ว่ามีนักท่องเที่ยวชื่อ MR. JAMES ALEXANDER LOAKES สัญชาติอังกฤษ ต้องการร้องเรียนคนขับแท็กซี่สาธารณะเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตรา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดต่อกับนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวให้มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากการสอบถามได้ความว่า นักท่องเที่ยวโดยสารแท็กซี่สาธารณะจากสนามบินสุวรรณภูมิ ช่องโดยสารที่ 44 เพื่อเดินทางไปยังถนนรามบุตรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งคนขับได้กดมิเตอร์โดยสารตามปกติแต่เมื่อถึงที่หมาย ค่าโดยสารปรากฏบนมิเตอร์ เป็นจำนวนเงินสูงถึง 3,985 บาท นักท่องเที่ยวเชื่อว่าถูกหลอก จึงมาร้องเรียน
ต่อมาวันที่ 20 มิ.ย. 62 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบกับศูนย์รถแท็กซี่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทราบว่าตามวันเวลาที่เกิดเหตุ ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันดังกล่าว คือ นายเสวย พุฒิสาร อายุ 57 ปี ขับขี่รถแท็กซี่สาธารณะ สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทษ 407 กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่จึงติดตามผู้ขับขี่คันดังกล่าวมาพบที่ กก.3 บก.ทท.1 (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ)
จากการตรวจสอบภายในรถแท็กซี่ พบว่ามีการติดตั้งดัดแปลงมาตราวัดมิเตอร์และติดตั้งวงจรไฟฟ้า ทำสวิตช์ลับบริเวณเกียร์รถยนต์ เพื่อเพิ่มราคาค่าโดยสารผิดกฎหมาย เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ดัดแปลงแก้ไขมาตราวัดมิเตอร์ เพื่อให้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำส่งรถแท็กซี่คันดังกล่าว เพื่อทำการตรวจสอบที่กรมการขนส่งทางบก
ทั้งนี้ นายสมชัย ราชแก้ว หัวหน้าฝ่ายตรวจการ กรมการขนส่งทางบก พ.ต.ท.อัครพัชร์ ทองศรีวาณิช สว.กก.3 บก.ทท.1 และเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทำการจับกุมผู้ต้องหาในข้อหา "แก้ไขดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบ (ดัดแปลงมาตรมิเตอร์)" โดยจะมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท และข้อหา "เรียกเก็บค่าโดยสารหรือค่าบริการเกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง" ซึ่งจะมีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาท ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522
เบื้องต้นทางกรมการขนส่งทางบกทำการพักการใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้ต้องหา เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งพฤติกรรมของผู้ต้องหารายนี้ ถือได้ว่าเป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะดำเนินการตรวจสอบขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป