ชายชุดดำเป็นคนทำค่ะ ดิฉันรู้เลย!

ชายชุดดำเป็นคนทำค่ะ ดิฉันรู้เลย!

ชายชุดดำเป็นคนทำค่ะ ดิฉันรู้เลย!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกคนคะ เทยอยากให้ทุกๆ คนค่อยๆ หรี่ไฟรอบๆ ตัวลง เปิดคลิปเสียงลมพัดเบาๆ มองซ้ายมองขวาให้ดีก่อนจะอ่านบทความนี้ เพราะสิ่งที่เทยจะชวนทุกคนไปค้นพบในวันนี้มันคือเรื่องลึกลับ ที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก ชนิดที่ว่าไม่ค่อยมีใครจะกล้าหยิบมาพูดกัน ใช่แล้วค่ะ เรื่องของ “ชายชุดดำ”

อะไรนะคะ! เอ๊ะ ไม่ใช่ค่ะ เดี๋ยวก่อนค่ะ ชายชุดดำที่ว่า เทยหมายถึงชายในชุดสูทสีดำ ที่เป็นตำนานเรื่องลับลี้ของอเมริกามาตั้งแต่ช่วงกลางๆ ยุค ‘50s โน่นแหนะค่ะ ไม่ใช่ “เรื่องนั้น” นะคะ ยังก่อนค่ะ

แต่มันแปลกใช่ไหมล่ะคะ เพราะปกติเรื่องแบบนี้ถ้าเป็นในไทย ก็คงไม่พ้นอะไรที่เป็นผีๆ สางๆ แต่สำหรับในอเมริกาแล้ว เรื่อง “ชายชุดดำ” นับว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังมากๆ ในยุคหนึ่ง เลยเถิดไปถึงขั้นพูดกันปากต่อปาก จนกลายเป็นเรื่องเล่า เรื่องแปลกพิสดาร ฝังอยู่ในหัวคนที่คลั่งไคล้ความลี้ลับแบบนี้เลยล่ะค่ะ

เทยคงต้องเริ่มเมาท์จาก ความกระหายใคร่รู้ของมนุษย์เรานี่แหละค่ะ ความมองท้องฟ้าแล้วก็นั่งมโนว่า เอ๊ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ นอกจากฉันและชะนีงูพิษแผนกข้างๆ ยังมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอยู่ด้วยหรือเปล่านะแก นั่นแหละค่ะคือจุดเริ่มต้น และหลังจากที่สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจและเริ่มก่อตั้ง NASA ขึ้นมาในปี 1958 การสำรวจอวกาศก็เริ่มต้นจากตรงนั้น

Gizmodo

แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ จุดเริ่มต้นของเรื่องแซ่บๆ นี้ จริงๆ แล้วมันไม่ได้เริ่มต้นที่ NASA นะคะคุณขา มันต้องย้อนไปประมาณ 11 ปีก่อนหน้านั้น มันเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 1947 คือว่าในเช้าวันหนึ่ง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอยู่ดีๆ นางก็ประกาศเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ นิวเม็กซิโก ซึ่งตรงนั้นน่ะ เขามีชื่อเรียกที่เทยว่าทุกคนคงเคยคุ้นหูกันดีว่า “Area 51” ซึ่งมันถูกดูแลภายใต้กำกับของกองทัพอากาศสหรัฐในตอนนั้นค่ะ แต่ภายหลัง ข้อเท็จจริงถูกเปิดเผยออกมาว่า จริงๆ แล้วมันเป็นบอลลูนที่นางเอาไว้ตรวจสภาพอากาศ คือมันเจ๊งแล้วตก ซากตั่งต่างกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่เขาก็เกรงว่าประชาชนนางจะเดือดร้อน ก็เลยกันประชาชนออกจากพื้นที่ไป

Syfy

ก็นะ ความไล่ประชาชนออกไป แล้วประกาศตอนแรกก็ดันดูลึกลับมาก ประชาชนแถบนั้นนางก็ไม่เชื่อสิคะคุณขา มันก็มีการเมาท์กันว่าคืนก่อนหน้านั้น ฉันเห็นจริงๆ แก เห็นเป็นลำเลย (หมายถึง UFO นะคะ) แล้วมันก็ตกแก จริงๆ ฉันเห็นกับตาตัวเองเลยเว่ย แล้วว่าบาป ยุค ‘50s อ่ะโนะโซเชียลมีเดียอะไรยังไม่มี โอ๊ย งานปากต่อปากก็สนุกนักล่ะ คนก็เริ่มเชื่อจริงจังว่า “มันคือการปกปิดข้อเท็จจริงต่อประชาชน”, “UFO ตก และรัฐบาลกำลังเอาเอเลี่ยนไปทดลองในทางลับแน่ๆ”

อร่อย...

ทีนี้จำได้ไหมคะตอนต้น เทยบอกว่า NASA ก่อตั้งปีอะไรคะ ติ๊กต่อก ใช่แล้วจ้า มันก่อตั้ง 11 ปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ นั่นก็ยิ่งทำให้สายคนคิดมากตบเข่าฉาด นั่นไงล่ะ ฉันว่าแล้ว ต้องใช่ ใช่แน่ๆเลยแก

ตะนี้พอเริ่มสำรวจอวกาศไปแล้ว ไอ้ต่อมความอยากรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกมันก็ยิ่งพรั่งพรูมาเป็นสาย ก็มักจะปรากฏคนที่อ้างว่าพบเห็นจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวตามที่ต่างๆ อยู่เนืองๆ ให้นึกภาพรายการทีวีราวๆ คนอวดผีของบ้านเรานี่แหละ ที่สหรัฐก็จะมีรายการจำพวกนี้ฉายดึกๆ มืดๆ เหมือนกัน ทีนี้มันดันมี ชายคนหนึ่งเขาชื่อว่า Albert Bender นางว่านางเป็น Ufologist คือเหมือนเป็นกูรูด้านจานบิน นางออกมาเปิดเผยว่า การทำงานของนางเรื่องนี้ นางเคยถูก “ชายชุดดำ” มากระทำข่มขู่นางถึงบ้าน ให้ยุติการตามล่าหาความจริงเรื่องนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อนนางอีกคนก็ตามมาเสริมทัพ John Keel นางก็เสริมค่ะ ว่าเป็นจริง จริงแท้แน่นอน แถมท่าทางของพวกเขามันก็ดูเคร่งขรึมน่ากลัว ผิวพรรณตั่งต่าง ก็ดูไม่น่าจะใช่มนุษย์โลก แน๊!!! และที่มากไปกว่านั้น เพื่อนนางอีกคน Jerome Clark ก็เสริมอีก ว่าระหว่างที่โดนข่มขู่นั้น เขารู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกด เหมือนกับว่า ชายชุดดำ สามารถทำให้เขารู้สึกล่องลอยได้

เวทมนตร์เลยนะคะคุณพี่…

แน่นอน เรื่องลับๆ เหมาะแก่การสอดรู้เนี่ย คนที่ไหนก็ชอบทั้งนั้นล่ะค่ะ พอทั้งสามท่านเขาออกมาเปิดเผยแบบนี้ ประชาชนก็หูผึ่งสิคะ เกิดกระแส UFO Hunting หรือการตามล่าถ่ายจานบินกันจนเอร็ด รูปจริงบ้าง ปลอมบ้าง ก็ว่อนไปหมด และในบรรดาคนที่ออกตัวว่าเป็นนักล่าจานบินและสนใจจะศึกษาเรื่องราวของมัน ตามชายสามคนที่เหมือนเป็นแรงบันดาลใจนั้น ก็เริ่มมีคนต่อเติมเรื่องราวของ “ชายชุดดำ” เพิ่มเข้าไปอีก

และไม่น่าเชื่อ แน่นอนค่ะ ทุกคนโกรธแน่นอน ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ….

I have ... seen some government agent frighten me.
ฉันเคยพบเห็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลมาข่มขู่ฉัน

และก็เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลหรืออย่างไรไม่ทราบ สิ่งที่จะต้องเป็นก็คือ เป็นชายใส่สูทสีดำสนิท ทำท่าทางแปลกๆ มาปรากฏในที่แปลกๆ และหลังจากข่มขู่ประชาชนแล้ว เหยื่อก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองจะจำเรื่องราวต่างๆ ตอนนั้นไม่ค่อยได้เสียด้วย

Grey Falcon

อื้ม… เวทมนตร์ ไซไฟ

แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลปากต่อปากแบบเนี้ย คุณคงคิดว่าใครเขาจะไปเชื่อ แต่ขอโทษเถอะค่ะ มันน่าเชื่อถือเอามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะว่าตัวรัฐบาลสหรัฐเอง ก็ชอบทำตัวให้แบบ “หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ” อยู่เนืองๆ

อย่างไรน่ะหรือ ก็เพราะการสำรวจอวกาศของ NASA มันไม่ได้เหมือนการไปปากซอย ที่แค่จักรยานง่อยๆ สักคันก็ไปกลับได้ การสำรวจอวกาศย่อมมาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำโลก ในองค์การนาซ่าจึงอุดมไปด้วยทรัพยากรบุคคลและทรัพย์สินที่เป็นขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญาให้กับสหรัฐอเมริกาเรื่อยมา ยิ่งอเมริกาพัฒนาการสำรวจอวกาศมากขึ้นเท่าไหร่ เทคโนโลยีก็ไปไกลขึ้นเท่านั้น

คำถามคือ NASA ได้องค์ความรู้นี้มาได้ยังไงแต่แรก? หรือว่าจะเป็นจากยานบินที่ตกในรอสเวลล์?

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเวลาพามาถึงยุคสงครามเย็น ที่สหรัฐก็ห้ำหั่นกับโซเวียตและพวกเวียดกง ในสงครามเย็นเพื่อปราบคอมมิวนิสต์ในช่วงปี 1960 ปลายๆ ไล่มาจนปี 1970 ต้นๆ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสงครามนี้ คือการ “แข่งกันสำรวจอวกาศและการทดลองในทางลับ” ดังที่เราจะเห็นว่าในช่วงปีนั้น จะมีสองมหาอำนาจ ที่พยายามช่วงชิงความเป็นใหญ่ในการสำรวจอวกาศกันอยู่สองเจ้า ซึ่งก็คือ NASA และ โซเวียตนั่นเอง

เมื่อเขาแข่งกันเบอร์นี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ CIA ก็ต้องทำ OT หนักหน่อย นางก็ต้องออกป้วนเปี้ยน สืบเสาะหาข้อมูลการทดลองทางอวกาศทั้งจากฝั่งตัวเอง ฝั่งโน้น จากประชาชน นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ เพื่อหาความเป็นไปได้ที่เหนือในเหนือในเหนือความคาดหมายเพิ่มขึ้นไปอีก เพิ่มไปถึงขั้นที่ว่ามีการซุบซิบกัน ว่ามีฐานลับการทดลอง Hybrid มนุษย์ธรรมดากับมนุษย์อวกาศ หรือการสร้างประตูมิติ ทะลุไปมิติอื่นได้ หรือที่แฟนตาซีตาโตกว่านั้น ก็มนุษย์พลังจิตที่จะใช้เป็นอาวุธปราบพวกคอมมิวนิสต์ และมนุษย์เหล่านั้นนั่นแหละ คือ “ชายชุดดำ” ซะเอง

ว้าว นางมโน….

แต่ก็อย่างที่เทยบอก ทางรัฐบาลสหรัฐนางก็ไม่เคยหยุดทำตัวเป็นนางข่มสหภาพโซเวียตเสียด้วย ที่ชัดๆ ก็คือในปี 1977 นางส่งยานวอยเอเจอร์ 1 ไปในอวกาศ ซึ่งในยานนั้นบรรจุแผ่นเสียงทองคำ ที่เล่นเพลงคลาสสิคของโมซาร์ต รวมถึงเสียงทักทายภาษาต่างๆ ในโลกเพื่อพยายามจะหาวิธีสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่อยู่นอกระบบสุริยะออกไป ซึ่งป่านนี้ยานนั้นก็ลอยไปไกลแสนไกลแล้ว

แผ่นเสียงทองคำที่ถูกส่งออกไปกับยานวอยเอเจอร์ 1Voyagerแผ่นเสียงทองคำที่ถูกส่งออกไปกับยานวอยเอเจอร์ 1

นี่คุณขา ไอ้แผ่นเสียงทองคำและการส่งยานไปในอวกาศเพื่อหาวิธีสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวเนี่ย มันส่งผลกระทบแรงมากในสังคมโลกช่วงยุค ‘70s – ‘80s มากเลยนะเอ้อ แผ่นเสียงทองคำนี่กลายเป็นสัญลักษณ์ของรางวัลของการประกาศเพลงยอดเยี่ยม แล้วเพลงในช่วงนั้น ดนตรีนางก็จะวิ้งๆ วับๆ อวกาศเยอะมากแทบจะทุกวง สีสันโชว์อลังการดาวล้านดวง และภาพยนตร์ต่างๆ ในช่วงนั้นก็จะมีหนังเอเลี่ยน หนังตะลุยอวกาศออกมากันหมด Star Wars Episode IV ที่เป็นภาคแรกเนี่ย ก็ออกฉายในปี 1977 ปีเดียวกับที่ปล่อยยานออกไปเลยนะเออ

และก็อย่างที่บอก จากการกระทำของ NASA ในกำกับของสหรัฐอเมริกา CIA เอย ทหารสหรัฐเอย มันก็ยิ่งทำให้คนดูออกว่าแบบ เฮ่ย พวกหล่อนพยายามติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวอยู่ตลอดเวลาเลยนะเนี่ย คนเขาดูออกเลยนะคะ

ฉะนั้นการเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาถึงโลกแล้ว และสหรัฐอเมริกาพยายามจะกุมความลับ โดยการส่งชายชุดดำ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปคุกคามประชาชน ปิดปาก เพื่อให้ลืมข้อมูลที่เกิดขึ้น ก็ออกมาจากปากของคนที่คลั่งไคล้เรื่องนี้เป็นระยะๆ ค่ะ

แหนะ รู้นะว่าพวกเธอกำลังคิดอะไร คงกำลังคิดว่า เฮ่ย มันอาจมีสิทธิ์เกี่ยวข้องกันก็ได้นะเทย ใช่ค่ะ!!! นานาจิตตัง ต่างคนต่างคิดเล่นเห็นต่างได้ แต่ในทางกลับกัน ก็มีนักวิชาการหลายคน ที่ออกมาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้น มันคือการ “อุปทานหมู่” ครั้งใหญ่ และสามารถอธิบายได้ในทางจิตวิทยาเช่นกัน

นาย Peter Rojcewicz นักคติชนวิทยา นางได้กล่าวว่า การเห็นสีดำ ทึบทึม มันเป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ไม่แปลกเลยที่เวลาคนเห็นคนใส่ชุดดำ มันก็มักจะผูกโยงไปในเรื่องของผีห่าซาตาน ยิ่งถ้าเขาไปยืนอยู่ในบริบท ในสถานการณ์ ในที่ที่ไม่ควรอยู่ด้วยแล้วเนี่ย มันก็จะยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปใหญ่ และไอ้เรื่องอาการความจำหาย มันก็มีสิทธิ์ที่จะผูกโยงกับเรื่องเล่าประเภทการโดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปแล้วล้างความจำ รวมสองเรื่องให้กลายเป็นเรื่องเดียว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เจ้าหน้าที่ในชุดดำพวกนั้นก็อาจจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่รัฐบาลธรรมดา ที่มาขอให้ยุติการนำเสนอข้อมูลอะไรพวกนี้ เพราะมันจะสร้างความแตกตื่นให้ประชาชนเสียเปล่าๆ

อิทธิพลความกลัวชายชุดดำ ต่อยอดพัฒนาจนกลายเป็น Slender Man ที่เป็น Iconic ความสยองขวัญมาจนถึงปัจจุบันBustleอิทธิพลความกลัวชายชุดดำ ต่อยอดพัฒนาจนกลายเป็น Slender Man ที่เป็น Iconic ความสยองขวัญมาจนถึงปัจจุบัน

พอมาอธิบายแบบนี้ ความเห็นก็เริ่มแตกออกเป็นสองฝั่ง และหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1989 เริ่มเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต สงครามเย็นจบ ข้อมูลจริงไม่จริงของ CIA เริ่มรั่วไหล ต่างคนก็ต่างเอาเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าต่อเติมกันไปคนละแบบจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม หรือแม้กระทั่งจะหาอะไรมาพิสูจน์ได้แล้ว ว่าเจ้า “ชายชุดดำ” ที่ว่าเนี่ย สรุปมันเป็นใคร เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นเอเลี่ยน หรืออะไรกันแน่

แต่ที่แน่ๆ อิทธิพลของเรื่องนี้ส่งผลต่อสื่อภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ต่อมาอีกมากมายหลายเรื่อง

ภาพจากซีรีส์ The X-Files ที่เนื้อเรื่องย้อนไปถึงการตกของ UFO ในรอสเวลล์Den of Geekภาพจากซีรีส์ The X-Files ที่เนื้อเรื่องย้อนไปถึงการตกของ UFO ในรอสเวลล์

ภาพจากซีรีส์ Stranger Things ที่เดินเนื้อเรื่องอยู่ในช่วงปี ‘70s เกี่ยวกับพลังจิตและมนุษย์ต่างมิติimdbภาพจากซีรีส์ Stranger Things ที่เดินเนื้อเรื่องอยู่ในช่วงปี ‘70s เกี่ยวกับพลังจิตและมนุษย์ต่างมิติ

Agent Coulson และ Nick Fury ใน Captain Marvel ที่เดินเนื้อเรื่องอยู่ในช่วงปี ‘90s และทั้งคู่ตามจับคนที่ตกลงมาจากฟ้าในชุดสูทสีดำHeroic HollywoodAgent Coulson และ Nick Fury ใน Captain Marvel ที่เดินเนื้อเรื่องอยู่ในช่วงปี ‘90s และทั้งคู่ตามจับคนที่ตกลงมาจากฟ้าในชุดสูทสีดำ

และแน่นอนค่ะ

ภาพยนตร์เรื่อง MIB International หรือ บุรุษชุดดำ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องที่เทยเพิ่งเล่าไปเต็มๆเลยMovie Webภาพยนตร์เรื่อง MIB International หรือ บุรุษชุดดำ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องที่เทยเพิ่งเล่าไปเต็มๆเลย

ก็อย่างว่าอ่ะนะคะ มนุษย์ต่างดาว ชายชุดดำ จะมีจริงไหม เทยว่าสักวัน NASA และมนุษยชาติคงหาคำตอบให้เราได้ แต่สิ่งที่เทยได้จากเรื่องนี้ก็คือ ไอ้เรื่องประเภท “เขาว่ามา ขอเชื่อไว้ก่อน” เนี่ย มันช่างมีอิทธิพล สู๊งสูงทีเดียวนะคะคุณ ความอยาก ส. ใส่เกือกของคนเราอ่ะโนะ

เหยี่ยวเทย รายงาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook