"จิ๊ก เนาวรัตน์" เปิดใจ 5 ปีแต่งหน้ามาหลายร้อยศพ เผยเจอสิ่งเร้นลับยังหาคำตอบไม่ได้
หากจะให้นึกถึงคนบันเทิงจิตอาสา เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงชื่อของ จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ วัย 61 ปี เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรามักจะมีโอกาสได้เห็นข่าวคราวของเธอในอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งก็คือ "ช่างแต่งหน้าศพ" ช่างผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้เสียชีวิตในวาระสุดท้าย ก่อนที่จะนำร่างอันไร้วิญญาณไปส่งมอบให้กับญาติเพื่อทำพิธีทางศาสนา
โดยล่าสุดทีมข่าวบันเทิง Sanook! News ได้มีโอกาสพูดคุยกับ จิ๊ก เนาวรัตน์ ถึงชีวิตหลังจากที่ได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนบันเทิงจิตอาสาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี รวมถึงหลายๆ เหตุการณ์ลี้ลับที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และปัญหาที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ เกี่ยวกับการบริจาคเครื่องสำอางเพื่อใช้ในการแต่งหน้าให้แก่ผู้เสียชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้ จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ได้เล่าให้เราฟังว่า
“ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเวลา 5 ปีแล้วนะคะที่พี่ได้มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ก็ถือว่าแต่งมาหลายร้อยศพแล้วค่ะ แต่ถามว่าเคยมีคนจองคิวให้แต่งไหม จริงๆ ก็มีนะ แต่มันก็แล้วแต่คนด้วย คือดวงมันจะต้องตรงกัน ถ้าพี่ไปทันก็ได้แต่ง บางทีไปไม่ทันก็ไม่ได้แต่ง หรือถ้าเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเราก็จะไม่ได้มีการแต่ง เพราะเขาจะรูดซิปปิดมาเลย ส่วนที่พี่แต่งก็จะเป็นประเภท ป่วยเสียชีวิต เป็นโรคหัวใจ ความดัน เยอะแยะหลายโรคค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าโรคติดต่อและอุบัติเหตุจะแต่งไม่ได้ รวมถึงกรณีที่ยังเป็นคดีอยู่ อันนั้นก็จะแตะต้องไม่ได้เหมือนกันค่ะ”
"จริงๆ มันก็เคยมีเหตุการณ์หนึ่งค่ะ เป็นคู่แม่ลูกเป็นประชาชนทั่วไปนี่แหละ คือแม่เขาดูโทรทัศน์แล้วเห็นพี่ แม่เขาก็เลยบอกกับลูกว่าถ้าหากแม่จากไปแล้ว ขอให้พาพี่จิ๊กไปแต่งหน้าให้แม่นะ และปรากฏว่าอยู่มาวันหนึ่งคุณแม่เขาได้เสียชีวิตจริงๆ เป็นการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ลูกเขาก็เลยต้องการทำตามคำขอของแม่ นั่นคือการให้พี่ช่วยไปแต่งหน้าให้ โดยวิธีการของเขาที่เขาใช้ในการตามหาตัวพี่ก็คือ เขาโทรหาสถานีโทรทัศน์ทุกช่องเลยค่ะ เพราะเขาเข้าใจว่าการที่พี่เป็นนักแสดงทุกช่องเขาต้องมีเบอร์โทรศัพท์ของพี่อย่างแน่นอน"
"ซึ่งตอนแรกทางช่องเขาก็ปฏิเสธที่จะให้เบอร์ติดต่อพี่นะคะ เนื่องจากว่ามันเป็นของส่วนตัว แต่พอเขาได้อธิบายเหตุผลว่าคุณแม่เขาได้ขอไว้ และเขาก็อยากจะมอบสิ่งนี้ให้กับแม่เพื่อเป็นของขวัญก่อนเผา ก็ทันทีเลยค่ะทางช่องที่เขาติดต่อไปก็ให้เบอร์โทรพี่ทันทีเลย ซึ่งพอพี่ทราบเรื่อง พี่ก็หิ้วกระเป๋าไปช่วยแต่งหน้าให้เขาที่วัดกู้ โชคดีมากวันนั้นเป็นวันที่เราเคลียร์งานเสร็จเร็ว เหมือนจังหวะมันได้จริงๆ พี่ก็เลยรีบหาเสิร์ชโลเคชั่นวัดกู้เพื่อที่จะเดินทางไปแต่งหน้าให้กับคุณแม่เขา และสุดท้ายก็ได้ทำตามคำขอของคุณแม่เขาจริงๆ มันเป็นแบบนั้นเลย"
"สำหรับชีวิตการเป็นช่างแต่งหน้าของพี่ พี่ไม่เคยถือตัว คือพี่ไม่รู้หรอกว่าใครรวย ใครมี ใครไม่มี หรือใครยศถาบรรดาศักดิ์สูงใหญ่ขนาดไหน อย่างตอนที่พี่แต่งให้กับตำรวจที่เสียชีวิต พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าชุดเครื่องแบบเขาต้องใส่ยังไงหรือติดอะไรตรงไหน แต่พี่ก็จะใช้วิธีการขอให้เขาช่วยพี่ อย่างเช่นถ้าจะใส่รองเท้าให้เขา พี่ก็จะบอกเขาว่า ขอใส่รองเท้านะคะ ขอรัดเข็มขัดนะคะ ขอใส่เสื้อนะคะ คือพี่ต้องบอกกล่าวเขาตลอดเวลาว่าพี่กำลังช่วยแต่งตัวแต่งหน้าให้เขาอยู่ ไม่ใช่เห็นอะไรแล้วคิดจะหยิบใส่หยิบแต่งมันก็ไม่ได้"
ยังจำได้ไม่ลืม เกือบสิ้นชื่อเพราะหลับใน แต่รอดตายเพราะมีเงาดำตบหน้าทำให้ได้สติ ทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
“เรื่องเข้าฝันมันอาจจะมีบ้าง ไม่มีบ้าง ก็อาจจะเป็นจิตหลอนของพี่เอง แต่พี่ก็พยายามคิดว่ามันไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องที่อาจจะคิดไปเองเสียมากกว่า ซึ่งที่ผ่านมาพี่ไม่เคยเจอในสิ่งที่ไม่ดีเลยนะ มีแต่สิ่งที่คุ้มครองพีตลอดเวลา แม้กระทั่งสิ่งที่พี่คิดว่าทำไมมันผ่านพ้นไปได้"
"มีครั้งหนึ่งกำลังขับรถแล้วง่วงนอนมาก แต่อยู่ดีๆ ก็มีอะไรในรถทำให้เราตกใจ จนทุกวันนี้ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่ามันมีอะไรดำๆ ผ่านมาในรถ คือครั้งนั้นเรียกได้ว่าหวิดหลับใน ถ้าชนก็คือไปเลย เสียบไปใต้รถแน่นอน ทุกวันนี้ภาพนี้ก็ยังอยู่ ภาพที่เหมือนมีอะไรมาตบหน้าให้พี่ตกใจ จริงๆ ก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะคะ แต่พี่ก็ยังคิดถึงภาพนั้นตลอดเวลาที่จะง่วง พี่ให้คำตอบไม่ได้ ไม่มีใครให้คำตอบได้ทั้งนั้น แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งเตือนใจพี่ว่าเวลาขับรถอย่าหลับใน”
ไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่ไม่เชื่อเรื่องหวยหรือลอตเตอรี่ ขอใช้ชีวิตที่ต้องลุ้นกับสิ่งที่เป็นไปได้ดีกว่า
“คือพี่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ บางครั้งพี่ก็คิดว่าเขาก็อยากจะช่วยนะ ถ้ามันเป็นสิ่งลี้ลับจริงๆ เขาก็อยากจะขอบคุณ จะช่วยเหลือ แต่พี่ไม่เคยเล่นหวย ไม่เคยซื้อล็อตเตอรี่ ใครมาขายพี่ก็จะบอกเขาว่า ขอบคุณนะพี่ พอแล้วพี่ไม่อยากรวยแล้ว พี่กลัวมากกับการซื้อลอตเตอรี่ เพราะว่าการซื้อลอตเตอรี่มันทำให้หัวใจวุ่นวาย มันลุ้นในเรื่องที่ไม่น่าจะลุ้น พี่ไปลุ้นเรื่องอื่นดีกว่า ขายบ้านดีกว่า วันนี้คนจะมาซื้อบ้านพี่ พี่ลุ้นว่าเขาจะชอบไหม จะซื้อไหม ลุ้นอันที่มันเป็นไปได้จริงๆ หรือจะเอาอะไรไปขาย เขาจะซื้อไหมวันนี้ หรือวันนี้จะมีงานชิ้นโตเป็นโฆษณา ลุ้นดีกว่าว่าเขาจะเอาพี่ทำงานไหม อันนี้มันน่าลุ้นมากกว่า แต่ถ้าลุ้นล็อตเตอรี่พี่ไม่เคยลุ้น ไม่เคยซื้อเลย แต่ถ้ามีคนมาให้ก็เอา แต่ควักซื้อพี่ยังไม่เคยรู้เลยว่าเขาขายเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าขี้เหนียวนะ”
วอนคนใจบุญอยากบริจาคเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้าผู้เสียชีวิต ช่วยนึกถึงผู้ตาย ขนตาปลอม กากเพชร ครีมทากลางคืน พวกเขาไม่ได้ใช้
"บางคนเขาก็บริจาคมาจริง เขาให้มาจริงนะคะ แต่มันก็ค่อนข้างที่จะเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ไม่ได้ คือพี่ต้องบอกก่อนว่าพี่เองก็มีหน้าที่เป็นคนตรวจเช็กเครื่องสำอางที่พี่ใช้ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น บางคนเขาก็ส่งครีมสำหรับทากลางคืนมาให้ใช้ หรือส่งครีมกันแดดมาให้ใช้ อารมณ์มันเหมือนเขาอยากจะโล๊ะมากกว่า คิดดูง่ายๆ คุณคิดว่าคนที่เสียชีวิตเขาจะไปโดนแดดที่ไหน มันต้องเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่ใช้ คือถ้าคุณจะให้ทั้งทีคุณก็ควรที่จะดูดีๆ นิดหนึ่ง อย่าบริจาคมาเหมือนกับเราเป็นถังขยะ พวกครีมกันแดด ขนตาปลอม เพชร กากเพชร จะให้พี่เอาไปทาให้เขาตรงไหน"
"สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ สำหรับการแต่งหน้าผู้เสียชีวิต จริงๆ มีไม่เยอะหรอกค่ะ ก็แค่ ฟองน้ำ รองพื้น ที่โกนหนวด หวี สเปรย์ แป้ง ที่ทาตาเล็กน้อย ลิปสติกสีอ่อนๆ แค่นั้นเองค่ะ อย่างบางคนที่ส่งของมาให้ก็มีนะคะ ลิปสติกสีม่วง คือจะให้พี่เอาไปทำอะไรนอกจากทิ้งลงถังขยะ หรือบางครั้งเปิดถุงบริจาคออกมาน้ำก็ไหลตามมาด้วยเลยเพราะเขาบรรจุมาไม่ดี แถมยังเลอะพี่เต็มไปหมด พี่ก็เลยต้องทิ้ง"
"ของบริจาคจริงๆ ก็ไม่ต้องของใหม่หรอกค่ะ เพราะพี่ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเสียเงิน ไม่ได้ต้องการแบบนั้น ขอแค่เป็นของที่ตัวเองมีอยู่และอาจจะรู้สึกเบื่อก็พอ แต่ก็ต้องดูให้มันดีนิดหนึ่ง และก็คิดด้วยว่าคนที่เขาเสียชีวิตแล้วเขาควรใช้อะไรบ้าง ซึ่งมันคงไม่ใช่ขนตาปลอม ไม่ใช่กาวติดขนตา ไม่ใช่กันแดด หรือครีมทากลางคืนแน่นอน แบบนั้นเราไม่เอา ขนาดเจลแต้มสิวยังมีเลย ซึ่งมันใช้ไม่ได้ แถมยังทำให้เลอะถังขยะโรงพยาบาลเปล่าๆ เพราะมันใช้ไม่ได้หรอก อย่าทำเลยค่ะ"
พร้อมให้คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเป็นจิตอาสา แต่หน้าที่นี้ไม่ใช่แฟชั่น เราต้องทำด้วยใจรัก
"พี่อยากอธิบายให้หลายคนฟังว่า การทำหน้าที่ตรงนี้พี่ต้องทำเพราะใจเรารักจริงๆ ไม่ใช่อยากแต่งเพราะมองเห็นว่ามันคือแฟชั่น ประมาณว่าเข้ามาช่วยแต่งแค่ 2-3 ศพ ก็หนีกลับ พอตามให้มาช่วยกันก็ไม่เอาแล้ว แบบนี้มันไม่ใช่นะคะ ซึ่งตัวพี่เองก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปสอนด้วย เพราะคนสอนเองก็รู้สึกถอดใจไปด้วยเหมือนกัน"
"พี่ต้องบอกก่อนว่าเวลาที่พี่สอนใคร พี่ก็จะทำให้เขาดูตลอดว่าเราต้องทำอะไรกับผู้เสียชีวิตบ้าง พี่ต้องคอยสัมผัสเขา ต้องคอยบอกเขาว่าการที่เขาจากไปนั้นมันคือสิ่งที่สูงสุด และจากนี้ก็ขอให้เขาได้เดินทางไปหาภพที่เขาอยากอยู่ให้ได้ จงอย่าเสียใจและอย่าร้องไห้ อย่ายึดติดกับอะไรทั้งสิ้น พี่จะพูดแบบนี้ผ่านหูผู้เสียชีวิตทุกท่าน จากนั้นพี่ก็จะมอบตะเกียงเล็กๆ ให้กับเขา 1 อัน พร้อมกับบอกเขาว่า 'ให้ถือตะเกียงนี้เอาไว้เพื่อช่วยส่องทาง ไม่ว่าแสงมันจะริบหรี่แค่ไหนก็ต้องพยายามทำให้มันสว่างให้ได้' เป็นตะเกียงที่ใส่เข้าไปในโลงให้กับเขาค่ะ"
ตั้งใจจับแปรงต่อไปจนกว่าจะหมดวาสนา ขอเรียนรู้ชีวิตจากหน้าที่นี้ ไม่เสียใจแม้ใครจะมองว่าอยากดัง
"พี่ก็คงทำของพี่ไปเรื่อยๆ เพราะมันก็คงขึ้นอยู่กับบุญและวาสนาของพี่ด้วยเหมือนกัน ว่าพี่จะทำไปได้อีกนานแค่ไหน อย่างทุกวันนี้เวลาที่พี่ได้มีโอกาสเข้าไปแต่งหน้า พี่ก็เหมือนได้เรียนรู้ไปทุกๆ วันนะว่าพี่จะสามารถทำใจได้แค่ไหนกับการตาย และอย่าไปเสียดายกับชีวิตที่เกิดมา ถึงแม้พี่จะไม่ได้เป็นคนที่ชอบนั่งวิปัสสนาเหมือนคนอื่นๆ แต่พี่ก็ได้มาเรียนรู้จากการทำหน้าที่ตรงนี้ค่ะ"
"สิ่งที่พี่ทำ มันเป็นสิ่งที่ใจรัก คนอื่นบางคนอาจจะมองว่าพี่ทำเพราะอยากดัง แต่พี่ก็ไม่แคร์คนอื่น ชีวิตเราเกิดมา อยากทำอะไรก็ชีวิตของเรา จะทุกข์จะสุขก็ตัวเรา อยากทำอะไรก็ตัวเรา คนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่สนใจ เพราะพี่ถือว่าการที่พี่มาทำแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ดูถูกกันไม่ได้ มีหลายสิ่งที่พี่ไปแตะต้องก็ได้ แต่พี่เลือกที่จะทำตรงนี้ และพี่ก็ไม่แคร์คนอื่นด้วยเช่นกัน”
>> เปิดชีวิต "จิ๊ก เนาวรัตน์" ก่อนเข้าวงการเคยเป็นคุณครู วันนี้มีครบทุกอย่างยกเว้นความรัก
>> เปิดชีวิต “จิ๊ก เนาวรัตน์" หลังหายหน้าจากวงการพักใหญ่ ถูกเม้าท์เป็นดาราเรื่องเยอะ
>> ฟังจากปาก “จิ๊ก เนาวรัตน์” รับงานน้อย ลือเตรียมออกจากวงการบันเทิง
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ