นักวิชาการชี้ "ล่าพะยูน" ไร้สาระ แค่หวังโหนกระแสปมไสยศาสตร์

นักวิชาการชี้ "ล่าพะยูน" ไร้สาระ แค่หวังโหนกระแสปมไสยศาสตร์

นักวิชาการชี้ "ล่าพะยูน" ไร้สาระ แค่หวังโหนกระแสปมไสยศาสตร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อดีตหัวหน้าอุทยานฯ หาดเจ้าไหม ชี้การล่าพะยูนเป็นเพียงเรื่องโหนกระแสของคนบางกลุ่ม ยืนยัน "น้ำตาพะยูน" พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้

จากการกรณีกระแสข่าวอ้างว่า ได้มีขบวนการล่าตัดเขี้ยวพะยูน เพื่อนำเอาเขี้ยวมาทำเครื่อวลางของขลัง การล่าเพื่อกินเนื้อพะยูน รวมทั้งมีการสกัดน้ำตาพะยูนมาทำเสน่ห์คุณไสย โดยมีการโพสต์ขายในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย จนหลายคนได้ออกมาต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว

ดร.มาโนช วงษ์สุรีรัตน์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพะยูนในจังหวัดตรัง ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า จากประสบการณ์ที่ทำงานและศึกษาเกี่ยวพะยูนมา การที่ว่าล่าพะยูนมาจาก 3 ส่วนด้วยกัน

ส่วนที่ 1 คือ ล่าพะยูนเพื่อจะกินเนื้อ ส่วนที่ 2 ล่าพะยูนเพื่อจะเอาเขี้ยว ส่วนที่ 3 เมื่อได้ซากมาแล้ว ก็จะเอาน้ำตา แต่ทั้งข้อ 1 และข้อ 3 คือ ทั้งเนื้อและน้ำตา จะต้องได้ซากในเวลาเดียวกัน น้ำตาคือมีซากแล้วมาเอาตอนที่ยังไม่เคลื่อนย้าย ส่วนเขี้ยว พบเมื่อพะยูนตายก็ต้องมาแยกย่อยเรื่องการล่าเอาเนื้ออีกครั้ง

news08-1ดร.มาโนช วงษ์สุรีรัตน์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพะยูน

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าครอบครัวที่อยู่ชายฝั่งทะเล ครอบครัวใดมีเนื้อพะยูนอยู่ในครัวตัวเอง ถือเป็นของร้อน มันไม่ง่ายในการที่จะเอาเนื้อพะยูนที่ชำแหละเอาไว้ในบ้าน เพื่อเก็บไว้กิน ในขณะนี้ตนเชื่อว่าประเทศไทยนั้น พะยูนน่าจะเกือบสูญพันธุ์แล้ว

ประเด็นการล่าพะยูนเพื่อเอาเขี้ยว การล่าเอาเขี้ยวถ้าตั้งใจการล่าเอาเขี้ยวจากพะยูนตัวเป็นๆ จะพบว่าต้องทำงานเป็นทีมมีเรืออย่างน้อย 1-2 ลำ เพราะฉะนั้นการฝังตัวของชุมชน ในพื้นที่นั้นต้องให้ความร่วมมือ จึงไม่ใช่ง่ายในการที่ชุมชนที่มีเทคโนโลยีในการตั้งใจออกไปล่าพะยูนเพื่อจะเอาเขี้ยว ทำให้เกิดความเป็นไปได้ยาก

แต่ในขณะเดียวกันนั้น ถ้าพบซากพะยูนที่ตายแล้ว และชุมชนหรือคนที่พบนั้นอยากได้เขี้ยวพะยูน เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นการล่า แต่เป็นการลักขโมยของซากที่เป็นสัตว์ป่า เพราะฉะนั้นการล่าเอาเขี้ยวจึงเกิดขึ้นว่า ล่าพะยูนแล้วเอาเขี้ยทำให้ตาย หรือพะยูนตายแล้วจึงจะเอาเขี้ยวไป เข้าข่ายขโมยซากสัตว์ เป็นงานที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องสืบสวนต่อไป

สำหรับตนเชื่อว่าการสืบค้นหาทีมที่จะมาล่าพะยูนนั้นทำไม่ยาก ซึ่งสอดคล้องกับน้ำตาพะยูน ทีมที่จะเอาน้ำตาพะยูนก็มักจะเป็นทีมเดียวกันกับทีมล่าพะยูนเพื่อจะเอาเขี้ยวพะยูน เพราะฉะนั้นในการเอาน้ำตาพะยูนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะได้ซากแต่ละตัว เพราะต้องใช้ไซริงค์ เพื่อจะไปดูดเอาที่บริเวณดวงตาของพะยูน เป็นความเชื่อที่ตนคิดว่าไม่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือจะมีเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องทางศาสนาไสยศาสตร์ ตนก็ไม่สามารถทราบได้

ส่วนตามเพจที่อ่านเจอที่มีการขายน้ำตาพะยูนขวดละ 1,400 กว่าบาทนั้น ตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ผู้บริโภคควรเก็ฐเงินไปใช้อย่างอื่นดีกว่า เพราะน้ำตาพะยูนมีปริมาณนิดเดียว เอามาผสมแล้วนำมาขายเป็นขวดละประมาณ 1,500 บาท ไม่ทราบว่าเขาไปเอาส่วนไหนของพะยูนมา หรือว่าจะเอาน้ำอะไรมาก็ได้ เพราะเป็นการเล่นกับความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้

news08-2น้ำมันพะยูน หรือ น้ำตาพะยูน ที่จำหน่ายในโลกออนไลน์

ในเรื่องของน้ำตาพะยูน ต้องเล่าย้อนประมาณ พ.ศ. 2530 ช่วงที่ตนเองทำงานอยู่เรา เคยพบซากพะยูนในช่วงค่ำ ก็ปรากฏว่ามีชาวบ้านเดินมาถือไซริงค์ ตนก็ถามว่ามาทำอะไร เขาบอกว่าจะมาแทงที่ดวงตาของพะยูนเพื่อจะเอาน้ำตา ตนก็บอกว่ามันบาปนะ และถามว่าเอาไปทำอะไร เขาบอกว่าเอาไปเข้ายา (เป็นภาษาใต้คือการนำน้ำตาพะยูนไปเข้ารวมกระบวนการทางยา)

ภายหลังก็ได้นำสืบก็ได้ทราบว่าไปทำเกี่ยวกับยาเสน่ห์ เรื่องอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นต้องเรียนว่าตัวน้ำตาที่จริงก็เป็นตัวระคายเคืองของดวงตา เวลาขึ้นมาที่ฝั่งแล้ว มันแทบจะไม่มีน้ำตา แต่วันนั้นเขาจะเอาเข็มมาแทงที่ดวงตาเลย ซึ่งตนก็ไม่ยอมให้ทำ เพราะฉะนั้นในความเชื่อ ณ วันนั้น

แต่ในวันนี้ศาสตร์ดังกล่าว ทางเรายังไม่ใครที่ตอบได้ชัดเลยว่า "น้ำตาพะยูน" ในความหมายของที่จะเอาไปทำกระบวนการต่างๆ เหล่านี้มันคืออะไร แต่ในทางของพิธีกรรมก็ยังไม่เคยพบเห็น มีแต่สืบค้นและก็สอบถามว่าเขาใช้ส่วนไหนของน้ำตาพะยูน เพราะตรงบริเวณโคนตา มักจะมีทรายและเมือกแค่นั้นเอง

นอกจากนี้ยังเคยพบอีกเหตุการณ์ เขาก็มาบอกว่าขอเอาผ้ามาป้ายและเอาน้ำตาส่วนนี้ไป ตนก็เห็นว่ามันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นเราต้องมาช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของความเชื่อส่วนนี้ อาจจะมีจริงหรือไม่มีจริง ในฐานะที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำให้คิดว่าสัตว์ทุกชนิดก็ไม่ควรจะไปทำร้ายเขา ไม่ควรไปหาในสิ่งเหล่านี้มาใช้ในกระบวนการ เพราะวิทยาศาสตร์สมัยนี้ไปไกลมากแล้ว
                     
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องน้ำตาพะยูนมองได้เป็น 2 ส่วน คือ ความเชื่อ และ การโหนกระแส ซึ่งขณะนี้ในจังหวัดตรัง ตนเชื่อว่าการรณรงค์ของทุกภาคส่วน ได้บูรณาการทุกคนเข้าใจแล้วว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำ เพราะฉะนั้นการล่าเพื่อจะเอาอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของพะยูนนั้นแทบจะไม่มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากการโหนกระแส เพื่อจะสร้างราคา สร้างรายได้ให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ทั้งนี้ ต้องคอยติดตามต่อว่า คนกลุ่มนี้คือใคร อย่าเอาสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่สญหายไปแล้ว เอากลับขึ้นมาเพื่อโหนกระแสให้กับคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่ทุกคนควรอนุรักษ์และหวงแหนกันมากที่สุดคือ พะยูน เพราะเขาคือสัตว์คุ้มครองที่มีโอกาสจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook