เปิดใจพ่อแม่น้องนุ่น เหยื่อแพรวา 9 ศพ ถ้าลูกสาวไม่ตายคงได้เป็นผู้พิพากษา
(18 ก.ค.62) ที่บ้านเลขที่ 49 /49 หมู่ที่ 23 ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ อดีต ผกก.สภ.เมือง จ.อุบลราชธานี พ่อของ นางสาวสุดาวดี นิลวรรณ หรือ น้องนุ่น หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากกรณีอุบัติเหตุสุดสะเทือนใจเมื่อปี 2553 ที่ นางสาวแพรวา (สกุลเดิม เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ขับรถเก๋งซีวิคชนรถตู้โดยสาร บริเวณบนทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า หน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 62 ที่ผ่านมา ชั้นฎีกาของศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษา ให้ฝ่ายจำเลยทั้ง 4 คน คือ จำเลยที่ 1 คือคนที่ชน ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 คือ บิดามารดาของคนที่ชน ส่วนจำเลยที่ 4 คือ คนที่ให้ยืมรถไปขับ
ทั้งนี้ ในวันพิพากษาฝ่ายจำเลย แม้แต่ทนายความก็ไม่มาฟังคำพิพากษา ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ หรือผู้เสียหาย และทีมทนายโจทก์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ช่วยเหลือนั้น ได้ส่งหรือให้ทางศาลไปปิดหมายได้ทราบคำพิพากษา จากนั้น 30 วันจะต้องนำเงินค่าเสียหายมาชำระ หรือมาวางต่อกับศาล แต่ถ้าปิดหมายก็ใช้แค่ 15 วัน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. มาถึงวันนี้ก็เลยเวลามานานแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่เคยได้รับข่าวสารจากฝ่ายจำเลย
ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็ต้องเข้าสู่การบังคับคดีโดยศาลอ่านคำพิพากษา ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าเสียหายไร้อุปการะ บุคคลที่เลี้ยงดู บุคคลที่มีชีวิตอยู่ ศาลฎีกาได้แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไปยืนยันให้ฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเหมือนที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษามาแล้ว ให้ชดใช้ผู้เสียหายทุกคน และคดีถึงที่สุดแล้วฝ่ายจำเลย ยังไม่มีการติดต่อมาโดยตรง
แต่เห็นว่ามีการแถลงข่าว อาจจะมีผู้ใหญ่ของตระกูลเขา ลงมาดูเรื่องนี้ซึ่ง เป็นแนวโน้มที่ดี ซึ่งทางผู้ใหญ่ท่านอาจจะไม่ทราบเรื่อง หรือ ทราบข้อขัดข้องของฝ่ายครอบครัวจำเลย ทางญาติก็มีความหวังที่จะได้รับการเยียวยาจากจำเลย ที่ผู้ใหญ่ท่านรับทราบ ท่านลงมาในเรื่องนี้ ซึ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีจนถึงที่สุดแล้ว โดยหลักทางจำเลยก็ทำตามคำสั่งของศาลฎีกาเพราะว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีที่ไหนให้ไปต่อสู้แล้ว
พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ กล่าวถึงบุตรสาวว่าถ้าน้องนุ่นยังมีชีวิตอยู่ เราคาดหวัง แต่ยังไม่เกิดขึ้น ผมก็มีความมั่นใจว่าน้องนุ่นเขาเรียนเก่ง ตั้งใจเรียนกฎหมายเพื่อที่จะจบออกมาและสอบเนติบัณฑิต สอบเรียนต่อปริญญาโท และอยากเป็นผู้พิพากษาตั้งเป้าไว้อย่างนั้น จะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าพ่อและแม่มั่นใจว่า ดูจากความตั้งใจของลูก ดูจากผลการเรียน ลูกจะต้องได้เป็นผู้พิพากษา อาจารย์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็บอกว่า ถ้าน้องนุ่นไม่เสียชีวิต ถ้าจบมาคงจะจบได้เกียรตินิยม
นางชุติมา นิลวรรณ แม่ของน้องนุ่น กล่าว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.2553 เราไม่เคยได้รับการติดต่อจากคู่กรณีเลย แม้กระทั่งเจอกันที่ศาล รอยยิ้ม หรือแววตาที่เป็นมิตร หรือคำทักทาย ไม่เคยเลย แม้กับญาติคนไหนก็ตาม ทุกวันนี้แม่คิดถึงลูกทุกวัน ลืมตาขึ้นมาหัวเตียงนอนจะเป็นบานกระจก ก็จะมองบนท้องฟ้าทุกวัน ตั้งแต่วันที่น้องเสียชีวิตก็คิดเองว่าลูกยังอยู่ เป็นความรักความผูกพันของแม่ สิ่งของที่เก็บมาจากห้องที่กรุงเทพฯ ก็อยู่ในกล่องเหมือนเดิม จนถึงทุกวันนี้ 9 ปีแล้ว ส่วนน้องชายของน้องนุ่น ตอนนี้เรียนจบแล้ว จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตอนนี้ทำงานที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี