ศูนย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เปิด 14 ข้อเท็จจริงคดีแพรวา 9 ศพ
วันนี้ (19 ก.ค.) ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่บทความสรุปข้อเท็จจริงคดีอุบัติเหตุบนทางด่วนโทลเวย์ซึ่งศูนย์นิติศาสตร์เป็นทนายยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย โดยมีทั้งหมด 14 ข้อดังนี้
1. เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 นางสาวแพรวาหรืออรชร (จำเลย) ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถตู้สาธารณะ บนทางยกระดับอุตราภิมุข ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 14 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นเหตุให้รถตู้คันดังกล่าวชนขอบทางยกระดับอย่างแรง ส่งผลให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหลายคน
2. ผู้เสียหายมีกี่คน
มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 คน บาดเจ็บ 5 คน
3. ศูนย์นิติศาสตร์ เข้าไปช่วยเหลือผู้เสียหายได้อย่างไร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีคำสั่งให้ศูนย์นิติศาสตร์เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีดังกล่าว โดยศูนย์นิติศาสตร์ได้จัดทนายความดำเนินการยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย รวม 13 คดี และเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญา
4. คดีที่ฟ้องมีกี่คดี โจทก์กี่คน จำเลยกี่คน
คดีที่ฟ้องมีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง
#คดีอาญา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง จำเลย 1 คน คือ นางสาวแพรวาฯ
#คดีแพ่ง โจทก์ 28 คน (13 คดี) จำเลย 7 คน ได้แก่
- จำเลยที่ 1 นางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 2 บิดานางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 3 มารดานางสาวแพรวาฯ
- จำเลยที่ 4 ผู้ให้ยืมรถ
- จำเลยที่ 5 สามีของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้นำรถไปฝากไว้กับจำเลยที่ 4
- จำเลยที่ 6 เจ้าของรถ
- จำเลยที่ 7 บริษัทประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 6 ทำประกันภัยรถยนต์ไว้
5. ในคดีอาญา ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไร
คดีอาญาถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ให้รอการลงโทษเป็นเวลา 4 ปี กับให้ทำงานบริการสังคมดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ และห้ามขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
6. ในคดีแพ่ง ผู้เสียหายฟ้องอะไรบ้าง
โจทก์ทั้ง 28 คน ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ถึง 7 เป็นเงินจำนวน 113,077,510 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ต่อมา จำเลยที่ 7 บริษัทนวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจำเลยที่ 5 และที่ 6 ผู้ครอบครองรถยนต์และได้ทำประกันไว้กับจำเลยที่ 7 ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เต็มจำนวนตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ทั้ง 28 คนจึงถอนฟ้องจำเลยที่ 5 ถึง 7 และศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
7. ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 ถึง 3 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้ง 28 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,061,137 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4
8. ใครอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นบ้าง
โจทก์ที่ 5 และที่ 11 ยื่นอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดด้วย และจำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์
9. ศาลอุทธรณ์ตัดสินอย่างไร
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้ง 13 คดี และให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อโจทก์ที่ 5 และที่ 11 ด้วย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,626,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
10. ใครยื่นฎีกา
ทั้งโจทก์และจำเลยยื่นฎีกา โดยโจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาแก้ โดยกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยขอให้ศาลปรับลดค่าเสียหายลง
11. ศาลฎีกาตัดสินอย่างไร
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในแต่ละคดี และให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อโจทก์ที่ 5 และที่ 11 ด้วย รวมค่าสินไหมทดแทนทุกคดีเป็นเงินทั้งสิ้น 25,261,164 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
12. ตอนนี้คดีอยู่ขั้นตอนใด
ขณะนี้อยู่ระหว่างส่งคำบังคับให้แก่จำเลยทั้ง 4 เพื่อให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับ หากไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดจะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี กล่าวคือ การสืบทรัพย์สินของจำเลยเพื่อยึด หรืออายัดทรัพย์สินนำออกมาขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชดใช้แก่โจทก์ต่อไป
13. กรณีนี้ผ่านมาเกือบ 9 ปีแล้ว หากจำเลยทั้ง 4 ได้โอนทรัพย์สินของตนไปยังบุคคลอื่น แนวทางการบังคับคดีจะทำอย่างไร
หากในระหว่างเวลาดำเนินคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา จำเลยทั้ง 4 มีการจำหน่าย จ่าย โอนทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น โดยรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี ย่อมมีความผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นๆ ให้กลับมาเป็นชื่อของจำเลย เพื่อให้โจทก์สามารถบังคับคดีต่อไปได้
14. ขั้นตอนการบังคับคดีมีกำหนดระยะเวลาอย่างไร
ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา กล่าวคือ โจทก์จะต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลย และเมื่อหมายบังคับคดีถูกส่งไปยังกรมบังคับคดี โจทก์มีหน้าที่ต้องไปตั้งสำนวนต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอให้ทำการยึดหรืออายัดและขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยจะต้องแถลงรายการทรัพย์สินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพากษา แต่เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้ดำเนินการย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดี