เสรีพิศุทธ์ แฉถูกปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร.

เสรีพิศุทธ์ แฉถูกปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร.

เสรีพิศุทธ์ แฉถูกปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เสรีพิศุทธ์ แฉถูกปล้นตำแหน่งผบ.ตร. เตรียมฟ้องกลับขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ พร้อมโต้ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งกก.สอบวินัย บรรดากลุ่มเพื่อนเสรีแห่ให้กำลังใจ ขณะที่อาจารย์หนู กันภัย เกจิชื่อดังแจกตะกรุดให้ผู้เข้าร่วมงาน

(16มิ.ย.) ที่ห้องโมเน่ ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงข่าวเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงที่ถูกมรสุมทางการเมืองเล่นงานระหว่างดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. และถูกปลดให้พ้นตำแหน่งในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อกล่าวหาฉกรรจ์อีกหลายข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในห้องแถลงข่าวดังกล่าว ปรากฏว่ามี "กลุ่มเพื่อนเสรี" ประมาณ 200-300 คน เดินทางมาร่วมให้กำลังใจอย่างแน่นขนัดเต็มห้องแถลงข่าว โดยมีอาจารย์หนู กันภัย เกจิชื่อดังในทางสักยันต์เดินทางมาร่วมงาน และแจกจ่ายตะกรุดให้แก่ผู้ร่วมงานด้วย นอกจากนี้ยังมีนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาร่วมให้กำลังใจด้วย ขณะที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เดินทักทายผู้มาร่วมให้กำลังใจภายในห้องดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง

ต่อมาเวลา 10.39 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เริ่มแถลงว่า วัตถุประสงค์ของการแถลงในวันนี้ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มีอะไรเคลือบแฝง แต่เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำอะไรกับตนไว้บ้าง ปัจจุบัน บ้านเมืองไม่ได้มีแค่การปล้นเอาทรัพย์สิน แต่ปล้นเอางบประมาณมากมาย แม้กระทั่งตำแหน่งก็ไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่เป็นการปล้นกันเลยทีเดียว ถ้ารอซื้อ ตำแหน่งก็ไม่ว่าง สู้ปล้นเอาทีเดียวเลยดีกว่า

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า เบื้องลึกเบื้องหลังการปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ที่เคยดำรงตำแหน่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ขณะนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภาคใต้ ได้รับข่าวจากสื่อว่า นายสมัครออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย นับเป็นความเลวร้ายที่สุดที่เคยรับราชการมา เมื่อเขาคิดที่จะปล้น ก็ไม่สามารถจะไปห้ามได้ พอทราบข่าวจากสื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่า ถูกปล้น ตนเคยเป็นจเรตำรวจแห่งชาติมาก่อน รู้วิธีการสืบสวนสอบสวน ถ้านายสมัครทำจริง ต้องทำตามกระบวนการ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน แต่ไม่อาจรอได้ เพราะตนจะเกษียณวันที่ 30 กันยายน เมื่อรับทราบข่าวก็ไม่ได้ตกใจ และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าใครทำอะไร รู้ตัวว่าถูกปล้นแน่ แต่ยังทำงานต่อไป ไม่ได้ตื่นตระหนก

อดีตผบ.ตร.กล่าวต่อว่า เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้รับความอบอุ่นจากประชาชนที่มารอต้อนรับ และพูดให้ประชาชนฟังว่า ไม่ต้องสนใจตนมากมาย ปล่อยให้ตนดำเนินการด้วยตนเอง เพราะมีประสบการณ์ในการรับหน้าที่ด้วยตนเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้อยู่กันอย่างสงบ ไม่ต้องเคลื่อนไหว ความจริงประชาชนอยากขับไล่นายสมัครตั้งแต่วันนั้น แต่ตนเป็นผู้ยับยั้ง ขอให้ตนได้ต่อสู้เพียงคนเดียว เพราะรู้ว่าข้อกล่าวหานั้น เสกสรรปั้นแต่ง เพื่อปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ไปให้ผู้อื่น

"สุดท้ายดาบนั้นจะคืนสนอง ใครที่ทำกรรมกับผมไว้ ก็จะต้องได้รับกรรมนั้นร้อยเท่าทวีคูณ ผมเป็นนักต่อสู้ ต่อสู้เรื่อยไป ผมไม่เคยทราบล่วงหน้าว่านายสมัครจะมีสภาพอย่างทุกวันนี้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้น ในวันที่ 3 มีนาคม ได้ไปรายงานตัวต่อนายสมัคร แต่นายสมัครหนีหน้า จึงไปรายงานตัวต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่ไม่มีงานทำ แกล้งให้ไปนั่งเฉยๆ ทำหนังสือขอหลักฐานนายสมัครไป ก็ไม่ให้ ทำหนังสือถึงปลัดสำนักนายกฯ ในขณะนั้นก็ไม่ยอมให้ เพราะทุกคนทำผิดกฎหมายหมด รวมทั้งทำถึงประธานคณะกรรมการสอบสวนก็ไม่ยอมให้ ตนจึงไม่มีอะไรอยู่ในมือ จึงต้องใช้วิธีการสอบสวนสืบสวนตามประสบการณ์

"เขาตั้งข้อกล่าวหาผมมา 3 ข้อ ข้อแรก คือเรื่องการทุจริตในการจัดเช่ารถ ข้อ 2 การสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และข้อ 3 เรื่องการโยกย้าย ซึ่งผมดูแล้วไม่ผิด และการตั้งกรรมการสอบที่จะให้ผมพ้นตำแหน่งนั้น จะมี พ.ร.บ.มาตรา 11(4) ให้ตำรวจไปช่วยราชการ ก็จะมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เมื่อสมัย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ก็ถูกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้ไปช่วยราชการ และตั้งพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รักษาราชการแทน สมัยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ก็ให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ไปช่วยราชการ และให้ตนรักษาราชการแทน จนกระทั่งพล.ต.อ.โกวิท เกษียณ" อดีตผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวอีกว่า จะเห็นว่า ทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ อดีตนายกฯ สุรยุทธ์ เดินตามกฎหมาย เมื่อมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล อยากจะเปลี่ยนคนทำงาน ก็จะทำได้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่นายสมัครไม่ทำอย่างนั้น เช่น ตอนนายสมัครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ย้าย พล.ต.อ.ศรีสุข (มหินทรเทพ) ไป และแต่งตั้งพล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุคงชื่น มาเป็นอ.ตร.แทน ฉะนั้นนักการเมืองจะติดเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก เรื่องกฎหมายคิดทีหลัง

อดีตผบ.ตร.
กล่าวว่า นายสมัครย้ายตนไป ก็จะต้องให้คนอื่นรักษาราชการแทนตนจนกว่าตนจะเกษียณ แต่รอไม่ได้ จึงมาศึกษากฎหมายว่าพอจะมีช่องว่างไหม ก็พบว่า หากข้าราชการตำรวจคนใด ถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ให้ออกก่อนได้ เพื่อรอการสอบสวน เหมือนอย่างที่นายสมัครจะประกาศภาวะฉุกเฉิน ต้องมีคนตีกันให้เจ็บให้ตายก่อน จึงจะประกาศได้ ตรงนี้เช่นเดียวกัน จะให้ตนออก ต้องตั้งกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 86 แต่จะตั้งได้ ต้องมีการสอบสวนว่า จะต้องทำตามมาตรา 84 ก่อน โดยต้องมีผู้ร้องเรียน และต้องใช้เวลาประมาณ 4-5-6-8 เดือน ดังนั้น ถ้าใช้มาตรา 86 ก็จะใช้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยคนร้อง ตามกฎก.ตร. คือต้องมีผู้กล่าวหา บัตรสนเท่ห์ก็ไม่ได้

"ในกรณีนี้ การจะตั้งกรรมการสอบสวนให้ผมออกจากราชการจึงต้องมีคนร้องเรียน ดังนั้น เขาจึงกำหนดคนร้องเรียนขึ้นมา คือ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง อดีตนายเวรผม ที่ถูกผมปลดออกจากราชการนั่นเอง พอเขาร้องเรียน แล้ว ไม่ตั้งกรรมการสอบ ให้ออกจากราชการเลย โดยที่ไม่มีการสอบสวน จึงไม่มีความเป็นธรรมกับผม ที่ไม่มีการสอบสวนผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จริงๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 5-8 เดือน แต่พอ 29 กุมภาพันธ์ ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผมเลย" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

อดีตผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ทั้ง 3 คำสั่ง 12 ข้อกล่าวหา จะทำอะไรก็ทำมา สอบมาเลย แต่ 14 เดือน คือ 1 ปีกับ 2 เดือน ยังสรุปไม่ได้เลยว่าตนผิดอะไร แต่ตามมาตรา 94 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถึงวันนี้ ถือว่า หมดแล้วทุกข้อกล่าวหา ไม่สามารถที่จะสอบสวนหรือกล่าวหาตนได้อีกต่อไป ทั้ง 12 ข้อกล่าวหา คือการปล้นตำแหน่ง เมื่อไม่มีอะไรก็ยัดข้อกล่าวหามาทั้งที่ตนทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้องทุกเรื่อง

"ถ้าเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผม 3 ข้อหาแรกก็ตายแล้ว แต่คนอย่างผม ทั้งวันทั้งคืน คิด เขียน อ่าน สู้ไป จนกระทั่งจบหมด และดำเนินคดีกับนายสมัครกับพวก ที่พ.ต.อ.ทินกรไปให้การนั้นถูกฟ้องหมด พอผมเบิกความเสร็จ ทนายเขาไม่ขอซักค้าน ในช่วง 1 ปีเศษที่ถูกรังแก ผมถูกตรวจสอบทรัพย์สินหมด ทั้งของภรรยา ลูก คนใกล้ชิด แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกนั้นยังมีการปล่อยข่าวจะถอดยศผมอีก ขู่ให้ผมหยุด แต่ผมไม่หวั่นไหว เพราะผ่านความตายมาเยอะ ขอเรียกร้องกับสังคมว่า อย่าปล่อยนักการเมืองชั่วไว้อีกต่อไปเลย" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิทธ์กล่าวในตอนท้ายว่า อีกไม่นานนายสมัครก็จะได้รับกรรม เพราะทั้งถูกพันธมิตรขับไล่ ยึดทำเนียบ หัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ทำงาน มิหนำซ้ำ ยังถูกศาลพิพากษาจำคุก ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยไม่รอลงอาญา ถูกยุบพรรค ถูกปลดออกจากหัวหน้า เมื่อไปต่างประเทศ ก็ถูกมือตบอีก จึงขอวอนแพทย์ประจำตัวช่วยดูแลนายสมัครให้ดี อย่าให้ตาย ขอให้ได้รับกรรมก่อน ตนอยากจะพิสูจน์ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร เพราะในเวลาที่เขาคิดทำนั้นอายุก็ 70 กว่า เขาเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ตนเป็นสารวัตร ถือว่าเป็นนักการเมืองที่เก๋ามาก ถ้าเขารู้ว่า เขาปล้นตนไป เขาได้สิ่งที่ปล้นนั้นทันที แต่กรรมอีกนาน เหมือนปล้นทรัพย์ กว่าตำรวจจะจับได้ ต้องใช้เวลา ขอฝากนักการเมืองรุ่นหนุ่ม อย่าทำเช่นนี้

"ข้าราชการที่ร่วมมือปล้นตำแหน่งผม ขบวนการที่จะทำลายผม รอรับกรรมต่อไป ผมสามารถพิสูจน์ได้หมด เพียงแต่ผมตัดสินไม่ได้ จึงต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายด้วยกลอนศรีปราชญ์ว่า "ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook