ดีเอสไอลุยแก้ดราม่า "พม่ารุกที่ดินคนไทย" หนักถึงขั้นขู่ฆ่าข่มขืนเจ้าของบ้าน
ดีเอสไอลุยลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนหาแนวทางแก้ปัญหา ต่างด้าวแย่งที่ดินคนไทย หลังชาวไทยร้องเรียนแต่ถูกเพิกเฉยมา 2 ปี สืบเจอพัวพันทุจริตอื้อ คนไทยถูกขู่ฆ่าข่มขืนเพราะเรื่องแดง
พันตำรวจโท สมพร ชื่นโกมล ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเขตพื้นที่ 5 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้นำคณะพนักงานสืบสวน นำโดย เรืออากาศเอก ชัยธัช มารังค์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ, นางสาวมะลิลา อารียลักขณากุล เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ และ นายชาญชัย แก้วประดับ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหากลุ่มบุคคลต่างด้าวบุกรุกอาศัยทำกินในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์
โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ประกอบด้วย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน, อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์, สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 สาขาแม่สะเรียง และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 โดยมี นายพงศ์พีระ ชูชื่น นายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยมติของที่ประชุม ทุกภาคส่วนจะบูรณาการทำตามหน้าที่ขอบเขตอำนาจของแต่ละหน่วยงานโดยการอำนวยการของนายอำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งจะสรุปผลการปฏิบัติงานภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นี้
สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา นายธนโชติก์ และ นางอนงค์ สามีภรรยาที่อาศัยอยู่ใน ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน ได้เข้าร้องเรียนว่า ที่ดินของบิดาที่มีหลักฐานการครอบครองสิทธิ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 ลำดับที่ 1550 จำนวน 3 แปลง 4 ไร่ ณ หมู่บ้านห้วยโป่งแข่ หมู่บ้านบริวารบ้านไม้แงะ ได้ถูกชาวต่างด้าวเมียนมาเข้ามายึดครองที่ดินแห่งนี้
โดยตนกับภรรยาได้เดินทางไปเรียกร้องความเป็นธรรมต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายหน่วย แต่ดูเหมือนว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเข้าข้างกลุ่มชาวต่างด้าวที่บุกรุกที่ดินทำกินของคนไทย และพยายามดึงเรื่องรวมไปถึงปกปิดข้อมูลเอกสารของบิดาที่เคยทำไว้ในหน่วยงานนั้นๆ
กระทั่งในท้ายที่สุดท้าย ตนจึงไปขอร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อขอให้เป็นสื่อกลางให้หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องระดับประเทศ ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาให้กับตนและภรรยา ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะไม่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านได้ เนื่องจากถูกกลุ่มชาวต่างด้าวกดดันในหลายรูปแบบ ทั้งข่มขู่ทำร้าย พร้อมสร้างกำแพงรวมทั้งหลักรั้วเปิดทางเข้าบ้าน
ต่อมา ในเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2561 นายธนโชติก์ เปิดเผยว่า ตนและภรรยาได้ร่วมกันทำหนังสือเปิดผนึก เพื่อยื่นต่อ นายเสริมยศ สมมั่น หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่จะเดินทางไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อตรวจสอบกรณีการร้องเรียน ในระหว่างวันที่ 23-24 กันยายน 2561
โดยในหนังสือเปิดผนึกดังกล่าว ได้ชี้แจงรายละเอียดตั้งแต่เริ่มมีการบุกรุกที่ดินจากต่างด้าวชาวพม่า และการเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมไปถึงต่างด้าวชาวพม่า แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ไม่พอยังถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐในคราวนั้นอีกด้วย
หลังจากนั้นอีกไม่นาน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 สามีภรรยาคู่นี้ก็ได้ทำหนังสือร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และทางดีเอสไอได้รับเป็นคดี และส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า คดีดังกล่าวมีความซับซ้อนและมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ จนส่งผลให้เรื่องราวยุ่งเหยิงซับซ้อน จนเจ้าหน้าที่รัฐระดับจังหวัดไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ทั้งนี้ ดีเอสไอตรวจพบว่า กลุ่มบุคคลชาวต่างด้าวเหล่านั้น มีบัตรประชาชน ซึ่งได้มามิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นบัตรประชาชนที่ปลอมแปลงขึ้นมาโดยมีเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ เข้าไปพัวพันในการออกบัตรประชาชนปลอม และมีการเรียกเก็บเงินรายละ 35,000 - 50,000 บาท
นอกจากบัตรประชาชนปลอมแล้ว ก็ยังพบว่า มีการออกโฉนดที่ดินปลอม ทับที่ของกรมป่าไม้ รวมไปถึงการออกหนังสือ คทช.ที่มีการเรียกเก็บเงินจากต่างด้าวรายละ 15,000 บาท จำนวนกว่า 70 ราย (เฉพาะบ้านห้วยโป่งแข่) โดยแต่ละหน่วยงานได้พยายามบ่ายเบี่ยงและปกปิดข้อมูลดังกล่าว แต่ทาง DSI ได้ลงพื้นที่และเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆ ไว้หมดแล้ว
ภรรยาของนายธนโชติก์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเวลา 2 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านได้ เนื่องจากยังถูกข่มขู่และกดดันต่างๆ นานา จากกลุ่มชาวต่างด้าวในพื้นที่ดังกล่าว ถึงขั้นมีการเขียนจดหมายมาติดเอาไว้ที่บ้าน ข่มขู่จะฆ่าสามีทิ้งและฆ่าข่มขืนตน
เนื่องจากการร้องเรียนในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาวต่างด้าวต้องเสียเงินค่าทำบัตรประชาชนไปคนละ 35,000 บาทอย่างเสียเปล่า ทำให้ตนกับสามีตกอยู่ในความหวาดกลัว อยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่เร่งรัดการทำคดีให้แล้วเสร็จเร็วไว ทุกวันนี้จะไปไหนมาไหนต้องระวังตัวตลอดจนเครียดอย่างหนัก