การบินไทย สั่งสอบ "สจ๊วต" หลังเจอแฉลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำโทษสูงสุดคือไล่ออก

การบินไทย สั่งสอบ "สจ๊วต" หลังเจอแฉลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำโทษสูงสุดคือไล่ออก

การบินไทย สั่งสอบ "สจ๊วต" หลังเจอแฉลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำโทษสูงสุดคือไล่ออก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (25 ก.ค.) นายสุธีรัชต์ ศิริพลานนท์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรณีที่มีข่าวพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายลักลอบนำบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

โดยบริษัทฯ ได้รับแจ้งข้อมูลว่ามีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายคนหนึ่งของเที่ยวบินที่ ทีจี 677 เส้นทางนาริตะ-กรุงเทพฯ ซื้อบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากอย่างผิดสังเกตที่ร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ในท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่น

บริษัทฯ จึงแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อเตรียมการตรวจจับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เอ็กซเรย์ตรวจค้นพนักงานต้อนรับฯ เที่ยวบินดังกล่าวทุกคน และไม่พบว่ามีบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด แต่พบกระเป๋าที่วางไว้ข้างคนขับรถขนส่งพนักงานจากลานจอดเครื่องบินกลับมายังอาคารศูนย์ปฏิบัติการการบินไทยที่สุวรรณภูมิ ซึ่งภายในกระเป๋ามีบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าบรรจุอยู่จำนวนมากโดยไม่มีพนักงานต้อนรับฯ คนใดแสดงตัวเป็นเจ้าของ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทฯ รู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ซึ่งบริษัทฯ จะลงโทษตามระเบียบบริษัทฯ ต่อไป โดยมีโทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ มีมาตรการป้องปรามไม่ให้พนักงานต้อนรับฯ กระทำผิด ทั้งการฝึกอบรมและย้ำเตือนอย่างสม่ำเสมอให้พนักงานรับทราบถึงโทษที่จะได้รับเมื่อกระทำความผิด ให้หัวหน้างานสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด และให้ความร่วมมือกับศุลกากรโดยการแจ้งเบาะแสรวมทั้งทำการสุ่มตรวจค้นเมื่อพนักงานต้อนรับฯ เดินทางถึงประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูถึงกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีผู้โดยสารแจ้งว่าพบเห็นพนักงานต้อนรับชายหรือสจ๊วตของการบินไทยคนดังกล่าวมีพฤติกรรมซื้อบุหรี่และไส้บุหรี่จำนวนมาก จึงแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ศุลกากรญี่ปุ่นก่อนที่จะมีการประสานงานมายังเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทย และมีการตรวจค้นจนเจอของกลางแต่กลับไม่มีพนักงานคนใดแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ จนเป็นเหตุให้พนักงานขับรถคันที่พบเจอของกลางต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบแทน ก่อนที่ในที่สุดผู้บริหารจะออกมาระบุว่าทราบตัวผู้ทำผิดแล้วและอยู่ระหว่างการสอบสวน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook