รถบรรทุกข้ามฝั่งจากไทย พลิกคว่ำหวิดตกเหวลาว เมียโชเฟอร์เสียชีวิต

เกิดเหตุรถบรรทุกเหล็กจากไทย ข้ามฝั่งจากด่านช่องเม็ก พลิกคว่ำบริเวณเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย สปป.ลาว โชเฟอร์บาดเจ็บสาหัส ภรรยาเสียชีวิตคาที่ ทางการไทยเร่งประสานช่วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยกู้ชีพองค์การกาแดง สปป.ลาว แจ้งว่าะบอุบัติเหตุรถบรรทุกเหล็ก ฮีโน่ สีขาว จากประเทศไทย เกิดเสียหลักพลิกคว่ำ บริเวณถนนเข้าเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ขณะกำลังนำเหล็กไปส่งที่โครงการ ซึ่งตั้งอยู่บนลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง จุดที่แม่น้ำเซเปียนบรรจบกับแม่น้ำโขง เส้นทางปากเซ สปป.ลาว

เหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทราบชื่อคือ นางศศิธร อายุ 48 ปี เป็นชาว อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นภรรยาคนขับรถบรรทุกคันดังกล่าว ส่วนคนขับรถบรรทุกได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน เจ้าหน้าที่เร่งติดต่อกลับไปยังทางการไทย เพื่อประสานงานความช่วยเหลือ

จากการตรวจสอบเบื้องต้น เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา รถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าวบรรทุกเหล็กมาเต็มคัน ได้เดินทางข้ามพรมแดนที่ด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เพื่อนำเหล็กไปส่งที่บริเวณการก่อสร้างเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย แขวงจำปาสัก สปป.ลาว โดยเดินทางมาในรถ 2 คน คนขับรถกับภรรยา

แต่เนื่องด้วยคันขีบไม่ชินเส้นทาง ประกอบกับเส้นทางดังกล่าวเป็นทางขึ้น–ลงเขา ถนนเป็นดินลูกรัง และมีฝนตกตลอด สองข้างทางปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดทาง และมีหุบเหวลึกเป็นระยะ หากผู้ที่ไม่รู้จักเส้นทางหรือไม่เคยใช้เส้นทางนี้มาก่อนมักจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เจ้าหน้าที่กู้ภัย สปป.ลาว ได้นำร่างผู้เสียชีวิตปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลปากเซ เพื่อรอญาติผู้เสียชีวิตติดต่อขอรับศพกลับประเทศไทย

สำหรับเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขื่อนขั้นบันไดเซเปียน-เซน้ำน้อย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 เขื่อน เป็นเขื่อนลักษณะที่เรียกว่า เขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ (saddle dam) หมายถึง เป็นเขื่อนเสริมพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมน้ำในอ่างเก็บน้ำที่เกิดจากเขื่อนหลัก เพื่อให้สามารถยกระดับน้ำให้สูงขึ้นและเก็บน้ำได้

โครงการนี้ตั้งอยู่บนลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง จุดที่แม่น้ำเซเปียนบรรจบกับแม่น้ำโขง โดยโครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย เคยประสบเหตุเขื่อนได้แตก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังเขื่อนแตกมีหมู่บ้านกว่า 7 แห่ง มากกว่า 6,000 ครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เขื่อนแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2562 คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ 410 เมกะวัตต์ โดยจะขายกระแสไฟฟ้าส่งให้ประเทศไทย ปริมาณ 370 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่มีสัญญาก่อสร้างในลักษณะ “สร้าง-โอนให้-ให้บริการ” โดยมีอายุสัมปทาน 27 ปี