คนไทยซึ้ง ภาพ "น้องแพร" ลูกสาวรองตี๋กอดเสี่ยรถเบนซ์-จูงมือเดินออกจากศาล

31 ก.ค. 62 (17:45 น.) พิมพ์

แชร์เรื่องนี้

แชร์เรื่องนี้Line Twitter Facebook

จากกรณี นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เจ้าของบริษัทไทยคาร์บอนแอนด์กราไฟต์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ เมาแล้วขับรถเบนซ์พุ่งชนรถยนต์ของ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล หรือ รองตี๋ อายุ 48 ปี รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2 บก.ป. และนางนุชนาถ อายุ 44 ปี ภรรยา จนเป็นเหตุให้ทั้งสองคนเสียชีวิต ส่วนลูกสาวคนเล็ก น้องแพร อายุ 12 ปี บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดกลางดึกของวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา

ล่าสุด วันนี้ (31 ก.ค.) ศาลจังหวัดตลิ่งชัน พิพากษาจำคุก นายสมชาย 6 ปี ปรับ 2 แสนบาท แต่จำเลยไม่เคยกระทำผิดและรับสารภาพ พิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 1 แสนบาท และให้รอลงอาญา

>> เสี่ยเบนซ์รอดคุก! ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 1 แสน แต่ให้รอลงอาญา

หลังจากฟังคำพิพากษาทั้งสองฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์พร้อมกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายสมชาย สัญญาจะดูแลบุตรสาวทั้ง 2 คน ของรองตี๋เป็นอย่างดี และขอให้พ่อแม่ของเด็กทั้ง 2 คน ไปสู่สุคติ ไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไป ขอให้เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเหมือนลูกเหมือนหลาน

พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 40,000 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นให้ น้องพลอย อายุ 16 ปี น้องแพร อายุ 12 ปี คนละ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในครอบครัวอีก 20,000 บาท เป็นเวลา 8 ปี จนถึงปีที่น้องแพรบรรลุนิติภาวะ

>> เปิดใจ ลูกสาวรองตี๋-เสี่ยเบนซ์ หลังศาลมีคำพิพากษาคดีเมาแล้วขับ

ซึ่งหลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จก็เกิดภาพที่น่าประทับใจขึ้น เมื่อ น้องแพร ลูกสาวคนเล็กของรองตี๋ ได้วิ่งเข้าไปกอดนายสมชายเพื่อชวนไปกินข้าว ก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือและเดินควงแขนกันออกจากศาลไป

ภาพดังกล่าวทำให้ชาวเน็ตประทับใจกับภาพที่เกิดขึ้น โดยต่างพากันชื่นชมนายสมชายที่ยอมรับผิดและออกมารับผิดชอบทันทีหลังเกิดเรื่องโดยไม่ต้องรอให้ศาลสั่ง ขณะที่บางส่วนก็อุ่นใจที่น้องพลอยและน้องแพรเหมือนได้ครอบครัวใหม่ และเชื่อว่ารองตี๋และภรรยาคงวางใจได้แล้วว่าจากนี้จะมีคนรักและดูแลลูกสาวทั้งสองคนอย่างดี

อย่างไรก็ตาม คดีของเสี่ยรถเบนซ์ที่ออกมารับผิดชอบครอบครัวของรองตี๋อย่างเต็มที่ ทำเอาหลายคนอดไม่ได้ที่จะเอาไปเทียบกับคดีแพรวาสาวซีวิค ขับชนรถตู้ 9 ศพ และเคสครอบครัวน้องการ์ตูน เหยื่อเมาแล้วขับ ที่ต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียง และสูญเสียคุณพ่อไม่อย่างไม่มีวันกลับ โดยไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ จากผู้ก่อเหตุ แม้ศาลจะมีคำสั่งชดใช้ 6 ล้านบาทแล้วก็ตาม