มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี" พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กๆ สานต่อทุนอาหารกลางวัน

ในมุมหนึ่งของประเทศไทย ยังมีหลายชีวิตที่ต้องประสบกับความลำบากในเรื่องของปัจจัยการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ

แน่นอนว่า เด็กๆ จากเมืองที่ห่างไกลจากตัวเมือง ยังคงดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก โดยมีเรื่องของ "อาหาร" เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยหลักที่สำคัญ

เด็กในพื้นที่เหล่านี้ น่าสงสาร เพราะพวกเขายังขาดในเรื่องของโภชนาการที่เหมาะสมกับวัยของเขา

ขาดซึ่งวัตถุดิบที่ดี และมีคุณภาพ ขาดในเรื่องของสารอาหารที่เหมาะสมกับวัย เรื่องเหล่านี้คือปัญหาที่มีผลโดยตรงกับทั้งเรื่องของพัฒนาการและการเรียนรู้

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาของการเข้ามามีบทบาทสำคัญของ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ภายใต้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร

โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนประเทศชาติในอนาคต ทางมูลนิธิฯจึงจัดโครงการมอบทุนอาหารกลางวันเพื่อโรงเรียนภาคเหนือ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 35 ให้แก่โรงเรียนต่างๆ รวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครอบคลุมพื้นที่ 15 ตำบลในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน เพื่อต้องการให้เด็กๆ มีความอยู่ดี กินดี ซึ่งโครงการอาหารกลางวันนี้สามารถช่วยเด็กๆ ได้มากกว่า 10,000 คน

นอกไปจากนี้ ความพิเศษของปีนี้ ทางมูลนิธิฯ ยังได้ให้ทุนโรงเรียนในจังหวัดเชียงรายเพิ่มจากปีก่อนอีก 25 โรงเรียน จากเดิม 57 แห่งเพิ่มเป็น 82 แห่ง มูลค่าทุนรวมกว่า 18 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2562 ที่สิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย

คุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด พร้อมด้วย คุณพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด ได้ร่วมกันมอบทุนดังกล่าวนี้ไปแล้ว

คุณรวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้กล่าวว่า "ดีเอ็นเอของบุญรอดคือการตอบแทนสังคม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การค้าขาย คือการยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราลงมือช่วยเหลือสังคมที่เราอยู่อย่างจริงใจ"

"ทุนอาหารกลางวันเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ที่เริ่มต้นขึ้นเพื่อดูแลสุขภาพและช่วยคนในถิ่นทุรกันดารมานาน เช่น การออกหน่วยแพทย์อาสาช่วยเหลือคน หรือ โครงการแจกเสื้อกันหนาว ที่ทำมากว่า 50 ปี

ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขาลงพื้นที่ไปตามโรงเรียนชายขอบ จะเห็นว่า อาหารกลางวันของเด็กๆ นั้นยังไม่มีความครบถ้วนทางโภชนาการ บ้างก็ขาดโปรตีน บ้างก็ขาดวิตามิน การมอบทุนอาหารกลางวันจึงเกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เด็กๆ มีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น"

นอกเหนือจากนี้ ความพิเศษของโครงการทุนอาหารกลางวันนี้ มันไม่ใช่แค่การมอบเงินก้อนหนึ่งที่โรงเรียน และ คุณครู นำไปซื้ออาหารให้เด็กๆ รับประทาน แค่นั้น

แต่มันยังเป็นการมอบโจทย์ทางด้านความคิดให้แต่ละโรงเรียนนำไปต่อยอดว่า จะทำอย่างไรให้เงินก้อนนี้นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนที่สุด

ข้อสำคัญคือเมื่อได้นำไปปรับใช้ร่วมกับโครงการ "100 โรงเรียนเกษตรพอเพียง" ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ด้วยการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน มันยิ่งเพิ่มแนวคิดความสอดคล้องของจุดหมายของโคตรการได้เป็นอย่างดี

เพราะอย่าลืมว่า เมื่อแต่ละโรงเรียนได้รับมอบทุนแล้ว พวกเขาก็จะเอาทุนส่วนนี้ไปจัดสรรซื้อเมล็ดพันธุ์พื้ช เพื่อปลูกผักกินเอง หรือไม่ก็อาจจะซื้อปลาดุกตัวเล็กๆ เพื่อเลี้ยงให้มันโต จนสามารถมีแบ่งไว้รับประทานและขายกลับไปให้ตลาดได้ เช่นเดียวกับการเลี้ยงสัตว์อย่าไก่ และอื่นๆ อีก

ระยะเวลายาวนานมาถึง 35 ปี ที่ทางมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ดำเนินการมา ต่างได้รับเสียงชื่นชมและคำขอบคุณจากเหล่าคุณครูและเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ มากมาย แต่นั่นก็ยิ่งใหญ่ไม่เท่ากับเรื่องราวการช่วยเหลือและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่โรงเรียนต่างๆ นำกลับมาเล่าให้ทางมูลนิธิฯ

ทั้งในเรื่องของอัตราการเกิดโรคคอพอกของเด็กๆลดน้อยลง และคุณภาพชีวิตของพวกเขาที่ดีขึ้น หลังจากที่ได้ทานอาหารครบถ้วนทางโภชนาการ

การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ด้วยใจหวังว่าให้ผู้ได้รับสานต่อในสิ่งที่ถูกที่ควร และทุนอาหารกลางวันของ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยเหลือสังคมอย่างจริงใจ